Saturday, June 30, 2012

แนะวิธีการสวนลำไส้ด้วยมะนาว

มีลูกค้าถามเข้ามาถึงวิธีการสวนลำไส้ค่ะ เขียนเสร็จเลยเอามาแชร์กันที่นี่


วิธีสวนลำไส้ เอามะนาวก่อนนะคะ เพราะย่านางบีมก็ไม่เคยทำค่ะ
  1. เตรียมขวดสวนลำไส้พร้อมสาย (สามารถสั่งซื้อได้ทางเน็ตหรือร้านสุขภาพค่ะ)
  2. บีบน้ำมะนาว 1 ลูกในแก้ว แล้วเติมน้ำอุ่นลงไปให้น้ำเต็มแก้ว แล้วเทลงขวดสวน
  3. ใส่น้ำจากก๊อกที่มั่นใจว่าาสะอาดลงไปให้ปริมาณถึงขีด 700-800 cc สำหรับผู้เริ่มสวนที่เป็นผู้หญิง (ถ้าตัวใหญ่หน่อยก็มากกว่านี้แต่ไม่ควรเกิน 1,000 cc ค่ะ) จากนั้นเปิดวาล์วให้ไ่ล่อากาศที่ปลายสายออกก่อน เพื่อป้องกันลมดันเข้าลำไส้ค่ะ จุดนี้ต้องใส่ใจค่ะ แม้จะเล็กน้อย
  4. นอนลงกับพื้นในท่าตะแคงขวา ทาวาสลีนที่ปลายสายแล้ว สอดเข้าที่ทวารหนักเข้าไปสัก 3-5 ซม. แขวนขวดให้สูงจากพื้นประมาณ 50 ซม.ค่ะ ถ้าสูงเิกินไป น้ำจะลงเร็วจะทำให้กลั้นไม่ค่อยอยู่ จากนั้นเปิดวาล์วอีกครั้งและนอนเฉย ๆ ให้น้ำลงหมด หรือถ้าเกรงว่าจะเข้าห้องน้ำไม่ทันนะคะ ให้ทำในห้องน้ำเลย แต่ไม่ต้องนอนค่ะ ให้เรายืนแต่ลำตัวตั้งฉากกับขา หาที่เกาะค่ะ พยายามให้ท้องราบทำมุม 180 องศากับพื้นค่ะ ให้ขนานกันเลย แล้วก็เปิดวาล์วปล่อยน้ำเข้าไปจนหมดเหมือนกันค่ะ อย่าเอาออกกลางคันค่ะ พยายามให้น้ำเข้าให้หมดค่ะ
  5. พอน้ำหมดก็เอาสายออก ถ้ายืนก็คงท่านั้นไว้ค่ะ หาที่เกาะแล้วใช้มือนึงนวดท้องตามแนวลำไส้ใหญ่คือ จากขวาล่างของท้องไล่ขึ้นบนเลี้ยวไปทางซ้ายของลำตัวและไล่ลงค่ะ ค่อย ๆ นวดนะคะ นวดวน ๆ ค่ะ จะช่วยให้น้ำกระจายในลำไส้ได้ดีค่ะ เข้าถึงของเสียได้มากขึ้นค่ะ พยายามกลั้นเอาไว้แบบนั้นอย่างน้อย 5 นาทีค่ะ สำหรับบีมอย่างมากทำได้ไม่เิกิน 12 นาทีค่ะ บางคนก็ได้นานมาก ^^  แต่บีมว่าเอาเท่าที่เรารู้สึกสบายน่ะค่ะ
  6. ถ้าปวดให้หายใจลึก ๆ ค่ะ เพราะตอนปวดนั้นคือตอนที่มะนาวทำงานไปกำจัดของเสียที่ติดลำไส้ให้ออกมาค่ะ ยิ่งถ้าจุดไหนที่มีอุจจาระตกค้างติดนาน จะยิ่งปวดมากหน่อยค่ะ แต่ถ้ากลั้นไปจนหายปวดได้ แสดงว่าเขาดึงของเสียจากจุดนั้นออกได้แล้วค่ะ
  7. พอครบเวลาที่เราคิดว่าโอเคแล้ว ก็มานั่งถ่ายค่ะ ห้ามเบ่งเด็ดขาดค่ะ ให้เขาออกมาของเขาเองเรื่อย ๆ ค่ะ อย่าไปบังคับเขา เพราะเราต้องระวังเรื่องแรงดันน้ำต่อผนังลำไส้ค่ะ ปล่อยเขาธรรมดา ๆ เลยค่ะ จนกว่าอุจจาระและน้ำมะนาวที่ใส่เข้าไปจะออกหมดค่ะ จะรู้ได้อย่างไร คือ เราจะไม่มีอาการปวดท้องถ่ายเหลืออยู่เลยค่ะ แล้วจะค่อนข้างโล่งและสบายตัวมากหลังจากถ่ายไป 5 นาทีค่ะ 
การสวนลำไส้นั้นจะทำให้พิษเริ่มถูกขับออกมาจากช่องทางต่าง ๆ ที่เซลล์เคยสะสมเอาไว้ อาจทำให้รู้สึกถึงอาการซ่านพิษได้ตามคู่มือที่เขียนไว้นะคะ ระหว่างที่ซ่านพิษให้พักผ่อนมาก ๆ ค่ะและปฏิบัติตามที่บีมได้แนะนำไปในคู่มือแล้วค่ะ

และมีข้อมูลจากเว็บคุณหมอแดงเกี่ยวกับวิธีการสวนลำไส้และผู้ที่ห้ามสวนลำไส้มาด้วยนะคะ ลองศึกษาดูค่ะ บีมดูแล้วสูตรมะนาวของคุณหมอต่างจากบีมตรงที่ใช้มะนาวเยอะกว่า ทั้งนี้ถ้าลูกใหญ่และมีน้ำมากก็ใช้ลูกเดียวค่ะ ถ้าเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีน้ำก็เยอะหน่อยค่ะ


ตัวอย่างขวดสวนและเว็บที่จำหน่ายอุปกรณ์นะคะ (ไม่ได้คอมฯ เหมือนเดิมค่ะ แต่ปกติแล้วถ้าจะสั่งขวดสวน บีมจะสั่งจากเว็บนี้น่ะค่ะ)

รีวิวผลการรักษาสิวด้วยตัวเองกับ MarryBeam

น้องเขาส่งอีเมลมาปลายเดือนมิถุนายนนี้เองค่ะ เพราะผลิตภัณฑ์ชุดที่เคยจัดไปครั้งแรกใกล้หมดแล้ว และตอนนี้เขาก็พอใจสภาพผิวมาก ๆ และอนุญาตให้นำมาเผยแพร่ได้ค่ะ ขอแค่คาดตาก็พอน่ะค่ะ

น้องมาสารภาพในภายหลังว่า ที่เป็นสิวเยอะ ๆ ก็เพราะไปพอกหน้ากับเครื่องสำอางดังยี่ห้อหนึ่งค่ะ

เอาที่น้องเขียนมาให้ด้วยนะคะ จะได้ทราบว่ามีหลักฐานที่เขียนมาจริงค่ะ

(คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ค่ะ)



น้องส่งรูปและข้อมูลมาให้ครั้งแรกสุดวันที่ 16 พ.ค. 55 ค่ะ ได้รูปชัดสุดตามนี้เลยค่ะ


ผลิตภัณฑ์ที่จัดไปครั้งแรก คือ
  1. Gold Caviar Cleansing Gel 
  2. Acne Toner
  3. Acne Serum Spot Treatment
  4. Whitening Program
  5. มาส์กสาหร่าย
  6. Fresh Aloe
  7. เพิ่มกันแดด Miracle UV  http://www.marrybeamholistic.com/product/645613/Miracle%20UV%20Plus%20Magic%20Cream%20UV%20A/B%20SPF%2080++%20%207ml.html 

สำหรับตัวทานมี CLEAN กับชาล้างไตค่ะ เพื่อลดความร้อนและของเสียในร่างกายไปด้วย ส่วนที่แดง ๆ และอักเสบจะได้หายเร็วค่ะ


และด้านล่างนี้คือรูปที่น้องส่งมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ค่ะ มาพร้อมกับอีเมลด้านบนนั้นเลยค่ะ รวมระยะเวลาก็ประมาณเดือนครึ่งค่ะ


ด้านล่างนี้เป็นที่บีมแนะนำน้องเขาไปนะคะ ตอบไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2555 นี้เองค่ะ


จากเคสของน้องจะเห็นได้ว่าภายใน 1.5 เดือน

  1. สภาพผิวปรับกระจ่างใสขึ้น (มาส์กสาหร่ายช่วยตรงนี้ด้วยค่ะ)
  2. สิวลดลงเกินกว่า 90% 
  3. ความแดงลดลงจนหายไปเกือบ 100% 
  4. เหลือแต่รอยสิวและปัญหาผิวตามที่น้องเขาเขียนแจ้งมานะคะ
  5. บีมปิดตา ปาก และจมูก แต่จะบอกว่า บีมจะดูผิวปากเขาด้วยค่ะ ครั้งนี้ ปากเป็นสีชมพูและไม่แห้งแตกแล้วค่ะ ครั้งแรกที่ดูรูป บีมยังเห็นปากน้องเขาเป็นสีคล้ำ ๆ แตกแห้งอยู่ค่ะ คาดว่าเขาคงพยายามปรับจากภายในร่วมไปด้วยค่ะ 
เคสนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันค่ะ น้องเขามาปรึกษาครั้งแรก บีมจัดผลิตภัณฑ์ไปพร้อมคำแนะนำค่ะ แล้วเขาก็กลับมาขอคำปรึกษาอีกครั้งตอนครีมจะหมดนี่ล่ะค่ะ

ซึ่งน้องแจ้งว่าสิวขึ้นเพราะไปมาส์กหน้ามา ประกอบกับข้อมูลที่บีมได้จากน้องตอนแรกคือ ระบบภายในเขาร้อนด้วยค่ะ คือมีเรื่องสุขภาพเข้ามาด้วย แต่เขาไม่ได้เป็นเยอะจากภายใน ทานเพียงตัวล้างพิษ 2 ตัวนี้ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ และอย่างที่บอกไปค่ะ เขาคงดูแลสุขภาพในส่วนอื่นตามที่แนะนำไปด้วยค่ะ ซึ่งบีมก็เขียนให้ทั้งหมดแล้วในคู่มือ MarryBeam นะคะ

ดาวน์โหลดฟรีกันที่นี่เลยค่ะ

ขอบคุณน้องยุ้ยที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ กับเพื่อน ๆ ค่ะ ขอให้น้องยุ้ยมีสุขภาพผิวที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

บีม

Tuesday, June 26, 2012

ปัญหาสิว ความสัมพันธ์ จุดหมาย และการไปให้ถึง

ตอนนี้บีมก็ง่วงมากแล้วค่ะ แต่คิดว่าเรื่องที่ได้เจอมาวันนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกรงว่าจะลืม ก็เลยขอนำมาบันทึกเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะคะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ระหว่างทางที่บีมกับครอบครัวเดินทางไปตัวเมืองเชียงรายเพื่อไปทำธุระ บีมก็โทรกลับน้องคนหนึ่งซึ่งน้องเขาโทรหาบีมเมื่อเย็นวันก่อน 2 ครั้ง แต่ด้วยบีมติดภารกิจช่วงเย็นซึ่งส่วนใหญ่จะง่วนกับการอาบน้ำและป้อนข้าวแคนดี้ หรือจัดการตัวเอง และกว่าจะมาเห็นเบอร์ Missed Call ก็ล่วงเลยไปสองทุ่มกว่าแล้วค่ะ ก็ไม่อยากโทรกลับช่วงนั้นและไม่สะดวกโทรกลับด้วยค่ะ เพราะตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวตลอด ซึ่งบีมจะไม่ทำงานหรือคุยโทรศัพท์ในช่วงนี้ค่ะ

น้องเขาก็เลยส่ง SMS มาหาบีมในตอนเช้าวันนี้ บีมอ่านแล้วก็ต้องรีบหาเวลาโทรกลับ เพราะรู้สึกได้ถึงพลังลบมหาศาลพุ่งออกมาจากตัวหนังสือเลยทีเดียว พอดีแคนดี้เริ่มจะชิว ๆ บ้างแล้ว เลยกดโทรกลับ

น้องคนนี้เป็นน้องที่บีมพบครั้งแรกที่สถานปฏิบัติธรรมเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาค่ะ น้องเขาจำบีมได้เลยทักมา วันสุดท้ายก็เลยได้นั่งคุยกับเขา แต่ด้วยเวลาเรามีน้อย บีมก็ได้วิเคราะห์ปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้ให้และแนะนำให้เขาลองดูในเว็บไซท์ ใน Facebook และหนังสือเพิ่มเติมค่ะ (เพราะน้องเขาติดตามและลองทำตามบล็อกมาได้สักพัก ประมาณต้นปีค่ะ แต่น้องเขาบอกว่าก็ยังมีหลายอย่างที่งงอยู่และไม่ค่อยเข้าใจค่ะ)

น้องเล่าไปและร้องไห้ไปด้วย คือ บีมไม่ถือนะคะ บีมบอกเขาว่าร้องไปเลยค่ะ เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะระบายความรู้สึกที่คั่งค้างออกมาได้ บีมก็รับฟังทุกอย่างที่เขาเล่ามาค่ะ

จับใจความได้ว่าน้องเขากำลังสับสน เขาำกำลังจะรับปริญญาภายในเดือนนี้ แต่ตอนนี้เขามีสิวเม็ดใหญ่ ๆ เต็มหน้าเลย เขาพึ่งทะเลาะกับคุณแม่อย่างรุนแรงและร้องไห้อย่างมาก เพราะคุณแม่มองไม่เห็นว่าการรักษาสิวแบบนี้จะเป็นทางออกแต่อย่างใด น้องเขาก็ไม่กล้าไปฉีดสิว เพราะเกรงว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า คือ เขาสับสนไปหมด

ในรายละเอียดก็คือ
  • น้องเริ่มรักษาด้วยตัวเอง ปรับอาหาร ปรับพฤติกรรม แต่ยังงง ๆ ยังทำไม่ไ้ด้ 100% และตอนที่เจอกันที่สถานปฏิบัติธรรม น้องยังไม่ทราบว่าทานโรตีกับพวกแป้งและมันทำให้เป็นสิวได้ บีมเลยแนะนำให้น้องเขาไปศึกษาเพิ่มเติมค่ะ่ (เห็นเขาว่าเริ่มมาสักพัก น่าจะ้ต้นปีค่ะ)
  • น้องเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ MarryBeam บีมก็พึ่งทราบวันนี้ว่าเขาไม่ค่อยชอบตัวอื่นใน Acne Set แต่เขาชอบมาส์กสาหร่ายมาก ตอนนี้ตัวอื่นก็เหลืออยู่ แต่เขาใช้มาส์กสาหร่ายตลอด ก็พึ่งหยุดใช้ไปไม่นานนี้เมื่อเริ่มจะมีประเด็นกับคุณแม่ และที่เขาไม่ชอบตัวอื่น ๆ ก็เพราะใช้แ้ล้วไม่สบายหน้า ซึ่งบีมก็อธิบายเขาว่าเป็นธรรมดาค่ะ บางคนใช้ได้ทั้งหมดไม่มีปัญหาจนครบ 1 เดือนเลยก็มี แต่ผิวหน้าบางคนอ่อนบาง ก็อาจรู้สึกไม่สบายผิวเมื่อใช้ทั้งเซ็ต เป็นต้น
  • น้องเขาไปหาคลินิกแผนไทยมีืชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็วิเคราะห์ออกมาคล้ายกับบีม และเมื่อหลัง ๆ นี้ คุณหมอบอกว่า ลำไส้เขาไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว เหลือแต่ที่ตับ เพราะเขาเห็นว่าหน้ายังซีดอยู่ ไม่มีเลือดมาเลี้ยงเท่าที่ควร เขาเลยให้ยาขับพิษตับมา หรือยาอะไรที่ไปเกี่ยวกับตับนี่ล่ะค่ะ ซึ่งเขาบอกน้องว่า จะมีสิวขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เม็ดไม่ใหญ่หรอก
  • น้องเขาไปฝังเข็มเพิ่มเติม ซึ่งคุณหมอก็บอกเขาว่า สิวมันไม่ยุบหรอกนะ แต่มันจะออกมาแล้วแห้งเร็วขึ้น
พอบีมฟังทั้งหมด ประกอบกับตอนที่บีมเจอเขา เห็นหน้าเขาครั้งแรกและครั้งล่าสุด ประมวลกับความรู้ล่าสุดที่บีมศึกษามาเรื่องตับ บีมก็เลยสรุปให้น้องดังนี้ค่ะ
  • ทุกวิธีที่เขาใช้นั้นเป็นธรรมชาติบำบัด คือ พยายามให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง ไม่มีการใช้ยากดอาการ ซึ่งเมื่อใช้ยาที่ไปทำอะไรเกี่ยวกับตับ และไปฝังเข็มร่วมด้วย บีมมองว่าพิษมันออกมามากเกินกว่าที่ตับและระบบกำจัดพิษของร่างกายจะจัดการไหว มันเลยออกมาอย่างที่เห็น และถ้าเป็นสิวแดง ๆ บางทีคุณหมออาจลืมให้ยาสงบตับก็ได้ค่ะ หรืออาจจะยังไม่ให้ตอนนี้ ซึ่งตรงนี้บีมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นบีมดูแลเอง แต่ละเคสที่มีสิวขับพิษแดง ๆ ขึ้นเยอะ ๆ เราก็รักษาเองก่อนโดยการหยุดสิ่งร้อนทุกอย่าง ถ้าทนไม่ไหว ก็ต้องหยุดการขับพิษทุกอย่าง หยุดทานตัวล้างพิษทุกอย่าง แล้วช่วยร่างกายแทน คือ ช่วยระบายพิษออกทางผิวหนังโดยการทำให้เหงื่อออก การดื่มน้ำเพื่อให้ปัสสาวะออกมา การหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ถ้าทำให้เหงื่อออกทางผิวหนังได้จะเร็วมากเพราะผิวหนังนั้นเป็นอวัยวะที่มีพื้นผิวกว้างใหญ่ ถ้าพิษได้ระบายออกทางรูที่ผิวหนัง มันจะช่วยให้อาการขับพิษสงบลงได้เยอะเหมือนกันค่ะ และบีมก็จะแนะนำให้ทานย่านาง โดยถ้าเป็นรูปแบบของน้ำสกัด จากผลการทดลองของตัวบีมเอง บีมว่า แบบน้ำสกัดให้ผลเร็วกว่าแคปซูลเพราะมันดูดซึมเร็วกว่า ซึ่งหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา เขาก็ลองรักษาตัวเองแบบนี้ มันก็ได้ผลค่ะ
  • บีมเลยแนะนำให้น้องหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ แล้วเน้นการบำรุงแทน บำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ทุกวัน หยุดการล้างพิษ ขับพิษทุกอย่าง หยุดฝังเข็ม หยุดทานยา (อันนี้อาจจะลองไปสอบถามคุณหมออีกที แต่บีมมองว่าถ้าจะให้ทันวันรับปริญญา มันต้องหยุดอย่างเดียวน่ะค่ะ แต่ถ้าอยู่ในคอร์สของหมอ ก็ปรึกษาคุณหมออีกทีว่าหยุดกะทันหันได้มั้ย)
  •  ตอนนี้ให้ลดความตึงเครียดระหว่างน้องกับแม่ก่อน เพราะความเครียดยิ่งทำให้สิวแย่ลง ตับแย่ลง ซึ่งบีมเข้าใจว่าจุดนี้สำคัญมาก และบีมตระหนักดีว่าไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะเข้าใจและสนับสนุนสิ่งที่ลูกทำ ถ้ายิ่งเห็นว่ามันต้องอด มันต้องเลือกอาหาร และยิ่งมีสิวขึ้นอีก ถ้าพ่อแม่ไม่ได้มาศึกษากับเราด้วย บีมเข้าใจว่ามันยากมาก และจะเป็นชนวนให้ทะเลาะกันได้ด้วยค่ะ ตรงนี้บีมทราบและเข้าใจดี และการที่บีมเขียนบอกให้ทุกคนตั้งใจไปให้ถึงจุดหมาย บีมไ่ม่ได้บอกว่า วันนี้ ตอนนี้ การใช้ชีวิตคือศิลปะ ถ้าสิ่งที่เราทำมันทำให้ทุกอย่างกำลังเครียดเกินไป เราก็หย่อนลงให้มันบางลงบ้างก็ได้ค่ะ คือ เราก็ทานปกติ แต่เราก็เลือกสิ่งที่มีประโยชน์ให้มากที่สุด บีมรู้ว่ามันยาก เพราะบางคนก็อยู่กับครอบครัว แม่ทำอาหารให้ แต่แม่ไม่ได้ลงมาศึกษากับเราว่า อาหารแบบนี้มันไม่ดีต่อร่างกายนะ พอเราไม่ทานแบบนี้ บางทีท่านก็มีน้อยใจ เสียใจบ้าง .... คือ บีมว่ามันอยู่ที่วิธีการสื่อสารของเราด้วยค่ะ พ่อแม่รักเราทุกคน ท่านเห็นลูกเชื่อคนอื่นมากกว่าท่าน บางทีท่านก็น้อยใจ ท่านเห็นลูกเป็นสิว ท่านก็ทุกข์ใจ ยิ่งมาเห็นเราอดอาหารอะไรอีก ยิ่งไม่สบายใจ มันเป็นปกติที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รักเรา...ดังนั้น สำคัญที่การสื่อสารของเราค่ะ  ตัวบีมนั้น  แม่รู้จักธรรมชาติของบีม เขาเลยไม่ค่อยมาอะไรตอนที่บีมทำ เขาก็ขัดและไม่เห็นด้วยหลายครั้ง ซื้ออาหารอร่อย ๆ มายั่วหลายครั้งค่ะ บีมก็แตกแถวมั่ง แต่น้อยมาก ... แต่พอทุกอย่างมันเห็นผล เขาก็เริ่มเชื่อ แต่มันต้องอาศัยเวลา บีมใช้วิธีอธิบายให้เขาฟังให้เข้าใจก่อน แต่ท่านจะเข้าใจและเห็นแบบเราหรือไม่ก็สุดที่จะทำอะไรได้ และเวลาที่ท่านซื้ออาหารที่ท่านว่าอร่อย แต่บีมมองว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย บีมใช้วิธี ไม่ทาน ถามว่าท่านรู้สึกอะไรไหม ท่านก็ถามนะคะว่า อ้าว ไม่กินเหรอ แต่บีมก็เลี่ยง ๆ ว่า ยังอิ่มอยู่ ก็ปล่อยเอาไว้จนของมันเสีย แล้วท่านจะจำได้เลยว่า อันนี้ซื้อมาบีมไม่กิน :) คือ หลายครั้งที่เราพูด แต่ถ้าเรากิน ท่านก็ยังซื้อมาน่ะค่ะ แต่ใจบีมมันไม่เอาแล้ว ไม่อยากกินของแบบนี้ แต่เราไม่อยากพูดทำ้ร้ายท่าน มันก็ต้องหาวิธีว่า ทำยังไงท่านจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาอีก และพอแม่บีมเริ่มเข้าใจสิ่งที่บีมทำ ท่านเริ่มซื้อผลไม้ ซื้อสลัด แทนที่จะเป็นของทอด ของกินเล่นแบบเมื่อก่อน คือ ใครจะกินอะไรก็กินค่ะ ท่านก็จะซื้อมาให้บีมอีกชุดหนึ่งไปเลย มันก็กลายเป็นความเคยชินว่า ถ้าจะซื้อของ ก็ต้องมี 2 ชุด เวลาไปสั่งอะไรต้อง 2 แบบ เพราะบีมกินไม่เหมือนใคร .... แต่กว่าจะถึงจุดนี้ มันก็ผ่านช่วงเสียน้ำตามาเยอะค่ะ ไม่ใช่ว่าเราได้อะไรมาง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ค่ะ แต่มันคือรางวัลแห่งชีวิต รางวัลให้กับวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกทางของเรา ถ้าเรามีสติ เราค่อย ๆ คิดแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ เน้นสายกลาง มองชีวิตเป็นศิลปะบ้าง ลดความตึงเครียด มีจิตวิทยาในการคุยกับคนรอบข้าง ถ้าช่วงไหนมันไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องปล่อย ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เราทำทุกอย่าง มันจะไม่มีปัญหาเลย และไม่เครียดด้วย เพราะเรารู้ว่าจุดหมายปลายทางคือ 1. ทำให้ตัวเราสุขภาพดีขึ้น 2. ทำให้ตัวเราหายจากสิว 3. ทำให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่ คือ ถ้าข้อ 1. กับ 2. มันสำเร็จ ข้อ 3. มันตามมาเองอย่างง่ายดายค่ะ
  • แนะนำให้น้องใช้ตัวที่ทำให้สิวยุบไปก่อน คือ ไม่ต้องใช้มาส์กสาหร่ายแล้ว เพราะพิษในกระแสเลือดเขาเยอะ แล้วมาส์กนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือซับพิษจากผิวคือ มันซับจากเส้นเลือดออกมาได้นะคะ เพราะทุกอณูของผิวเราก็มีเส้นเลือดฝอยแทรกอยู่ทั้งนั้น คือ ถ้ากรณีที่พิษขับเยอะเกินไป ตับจัดการไม่ได้ แล้วไปใช้มาส์กซับมาอีก แม้มันจะแห้งในที่สุด แต่มันก็ต้องดึงพิษออกมาอยู่ตลอด มาส์กนี้บีมแนะนำให้คนที่พิษเหลือน้อยแล้วใช้จะดีกว่าค่ะ เพราะวัตถุประสงค์คือ บีมอยากให้ซับสารเคมีที่ตกค้างบนผิว คือ ยาที่เคยใช้ทารักษาิสิว ปรอท กรดวิตามินเอ อะไรพวกนั้นมากกว่า บีมไม่ได้ต้องการให้มันซับพิษในกระแสเลือดออกมาด้วย แต่มันก็ดันทำได้เอง สรุปว่า ถ้าเขาไปจะไปฉีดสิว เขาก็ทำเถิด เพราะ ณ ตอนนี้เป็นวิธีเดียวแล้วที่พอจะฝากความหวังได้ค่ะ (เขามีเงื่อนไขคือ ซ้อมรับวันอาทิตย์นี้และรับจริงประมาณต้นเดือนหน้า) และบีมก็ถามเขาว่าช่างแต่งหน้าเขาเก่งมั้ย เขาบอกว่าช่างคนนี้ก็โอเคค่ะ แต่งหน้าเจ้าสาวเพื่อนพี่สาว เขาช่วยปกปิดให้ได้ แต่ถ้าสิวนูนต้องฉีดให้ยุบก่อนจึงจะแต่งได้เนียนได้ แต่บีมก็บอกน้องว่า่ ในเคสที่ฉีดสิว ถ้าในอนาคต เวลาเราล้างพิษผิว มันก็ออกมาได้อีกนะ แต่ตอนนี้น้องจำเป็นต้องทำสิ่งเฉพาะหน้า และช่างก็แนะนำมาแบบนั้น บีมก็เข้าใจค่ะ อันนี้ก็บอกเขาไปว่าทำได้แต่ในอนาคตมันก็ต้องมาจัดการกันอีก เขาก็โอเค คือ ให้มันผ่านจุดนี้ไปก่อนก็แล้วกัน และตัวอื่น ๆ ที่ใช้กับผิวก็ควรเป็นพวกตัวรักษาสิวพื้นฐาน ไม่มีล้างพิษเลยค่ะ เช่น ตัวแต้มให้สิวยุบ ซึ่งบีมแนะนำให้เขาลองใช้น้ำย่านางเช็ดหน้าดู เพราะมีสิวแดงบนหน้า และผิวเขาอ่อนบาง การใช้น้ำย่านางน่าจะดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไปค่ะ
ในตอนท้าย น้องก็สบายใจขึ้นค่ะ บีมก็เบาใจไปด้วย

บีมรู้ว่าหลายคนก็คงต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ต้องทะเลาะกับคนใกล้ตัว คนที่เรารัก

ไม่ใช่ว่่าเขาไม่รักเรา แต่แค่เขา "ยังไม่เ้ข้าใจ" เท่านั้นเองค่ะ

ลองฟังว่าจริง ๆ แล้วหัวใจเขาพูดว่าอย่างไร สะท้อนความรู้สึกนั้นออกไปให้เขารับรู้ว่าเรารู้ว่าเขาเป็นห่วงอย่างมาก แต่...ณ จุดนี้ก็ลองใส่เหตุผลที่เราทำแบบนี้ลงไป เอาอารมณ์ออกไปก่อน เพราะถ้าร้อนกับร้อนมาเจอกัน มันเอาอัตตาคุยกัน ยังไงก็ไม่จบค่ะ

บีมไม่อยากเป็นชนวนให้พ่อแม่ลูกหรือคนรักเขาแตกกันเพราะเรื่องการรักษาสิว

ดังนั้น บีมอยากให้เพื่อน ๆ นั้นตั้งใจได้ มุ่งหวังได้ แต่ระหว่างที่เดินทางไปก็ต้องมีศิลปะ ต้องดูความเหมาะสม เดินบนสายกลาง ข้อสำคัญคือ ให้เกิดความเครียดน้อยที่สุด ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่น ๆ เราทำได้แค่ไหน ณ ตอนนั้น เราก็ทำเท่าั้นั้น แต่สำคัญก็คือ เราเ้ข้าใจและรู้ตัวเสมอว่า "เราทำอะไรอยู่"...และ "เรากำลังจะเดินไปไหน"....(จุดหมาย)

ความฝันแต่ละอย่างของบีม ไม่ว่าจะเป็นการที่รักษาสิวตัวเองจนหายด้วยตัวเอง หรือการได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานด้วย เลี้ยงลูกและอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิดได้ด้วย ไม่ได้เกิดขึ้นภายในไม่กี่ปี

บีมตั้งใจที่จะรักษาสิวด้วยตัวเองให้หายตั้งแต่ ม.5 นู่นเลยนะคะ ตั้งแต่ที่หมอพูดว่า "ตับอยู่ใน หน้าอยู่นอก เธอเลือกเอาเอง" (ตอบบีมเรื่องผลข้างเคียงโรแอคคิวเทน) ตอนนั้นน่า่จะ 17 ปีค่ะ กว่าบีมจะเจอทางออกจริง ๆ ก็ปาไปอายุ 25 ปีแล้ว ใช้เวลาประมาณ 8 ปี คือ ถ้านับจริง ๆ ตั้งแต่จุดที่ตั้งใจเลยคือ 8 ปี ไม่ใช่ 7 เดือนนะคะ

บีมเคยฝันเอาไว้ว่าจะมีธุรกิจแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือ มีเวลาเลี้ยงลูกเต็มที่ช่วงที่เขามีอายุ 0-3 ปีตั้งแต่ตอนที่ทำงานใหม่ ๆ บีมฝันอยากมีลูกมาตั้งแต่ก่อนมีแฟนอีกค่ะ ก็คิดมาอยู่เสมอว่าถ้ามีจะต้องได้เลี้ยงเอง ยิ่งทำงานที่จิมโบรี รู้เลยว่าช่วงที่เด็กเล็ก ๆ นั้นเป็นช่วงสำคัญมากที่จะวางรากฐานชีวิตทั้งชีวิตให้เขา บีมมองสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองและก็ทราบว่าด้วยคุณพ่อคุณแม่ต้องทำมาหากินเพื่อให้บีมกับน้องเรียนสูง ๆ ท่านก็ต้องไปทำงาน (เป็นครู) และต้องฝากเราไว้กับพี่เลี้ยง บีมโดนพี่เลี้ยงตีด้วย (ก็พึ่งรู้นี่แหละ) เลยกลายเป็นเด็กเก็บกด เงียบ ๆ คือ

จริงๆ แล้วบีมเครียดตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว เพราะคุณแม่ก็เครียดหลายอย่างค่ะช่วงท้องบีม มันเลยเป็นความตั้งใจเลยว่า ถ้าบีมจะมีลูก บีมต้องมีเวลาที่จะลั้นลากับเขาตั้งแต่ตอนท้องจนถึงอย่างน้อย 3 ขวบ บีมเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองที่จะสอนเขา บีมตั้งใจเลยว่าจะเลี้ยงเอง ทุกอย่างนี้บีมตั้งใจตั้งแต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลย นี่เรื่องจริง คาดว่าความตั้งใจนี้ก่อนบีมจะอายุ 20 ปีอีกค่ะ แต่อย่างที่บอก มันมีแรงผลักดันที่จะทำให้ได้แบบนี้ และรู้แค่ว่า ต้องงานอิสระเท่าันั้นที่จะให้ชีวิตเราแบบนี้ได้ ไม่ใช่งานประจำ บีมถึงมีปัญหากับงานประจำอยู่เรื่อย บีมทำงานดีนะ แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบ เราก็ยังเด็ก ถ้าไม่ชอบก็คือแสดงออกว่าไม่ชอบ ไม่รัก ถ้าไม่ชอบหัวหน้า ก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ เพราะบีมไม่หวังความก้าวหน้ากับงานประจำอยู่แล้ว (ในตอนนั้นนะคะ) คือ หัวดื้อมากกก แต่ก็เป็นช่วงกราฟชีวิตดิ่งมากเหมือนกัน

ลองดูนะคะ ความตั้งใจและความฝัน บีมยังคงรักษามันมาเรื่อย ๆ แม้บีมจะมองไม่เห็นทางในตอนนั้น แต่เพราะบีมเชื่อว่าบีมต้องทำให้มันเกิดขึ้นได้ และบีมก็พยายามหาทาง และดีที่ว่า ในชีวิตของบีมไม่เคยได้อะไรมาง่ายดาย บีมต้องทำเองถึงจะได้ อยากเข้าโรงเรียนดี ๆ ก็ต้องสอบเอง ไม่มีการฝาก พ่อแม่ของบีมเลี้ยงมาแบบให้ทำอะไรเองหมด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ และมันหล่อหลอมให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเลือก สิ่งที่เราทำ ยิ่งตอนสมัยเรียนบีมสนใจวิชาจิตวิทยามาก ๆ บีมก็เอาทฤษฎีมาลองใช้หลายทฎษฎีค่ะ ที่บีมชอบมากคือ สั่งจิตใต้สำนึก ทดลองทำหลายทีแล้วได้ผลดีมาก ยิ่งตอนเรียนภาษาอังกฤษกับครูเคท ท่านก็สอนเทคนิคนี้ บีมเอามาใช้ จากคนที่ฟังอังกฤษไม่ได้เลย กลายเป็นเริ่มฟังออก และทุกวันนี้ก็ฟังได้แล้วค่ะ แต่มันไม่ค่อยได้ใช้บ่อย ก็ต้องใช้เวลาจูนมั่ง

แต่จากตรงนั้น และจากหลายอย่างที่เราทำและขวนขวายมาเอง เรารู้เลยว่า "ถ้าตั้งใจ...อะไรก็สำเร็จ" ไม่ว่าจุดหมายหรือเป้าหมายที่ตั้งจะเป็นอะไร มันต้องถึงถ้าเรายังรักษามันไว้ให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ และแต่ละอย่างไม่ใช่ใช้เวลาแค่ไ่ม่กี่เดือน ตอนที่ฝันก็ใ่ช่ว่าจะเห็นทาง แต่เพราะคิดว่าต้องทำให้ได้ ต้องถึง แต่แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรารู้แค่ว่า ถ้าเราต้องการอะไร เราต้องดูว่าอะไรที่จะเป็นบันไดไปสู่สิ่งนั้น เราก็ค่อย ๆ เริ่มทำ ก้าวเล็ก ๆ นี่แหละค่ะ มันจะนำเราไปสู่สิ่งนั้นได้เองในที่สุด ค่อย ๆ สะสมมันไป

บีมก็เขียนซะยาว ดึกแล้วด้วย

หวังว่าใครได้อ่านบทความนี้จบจะมีกำลังใจในการไปให้ถึงฝั่งฝันไม่ว่าจะอะไรก็ตามนะคะ

บีมเป็นกำลังใจให้คนที่ตั้งใจทุกคนค่ะ
^^

Monday, June 25, 2012

หมอชาวบ้าน : ชอบนอนดึก นอนไม่หลับ ทำลายสุขภาพระยะยาว

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน และคนสมัยนี้เป็นกันเยอะคือ นอนเร็วไม่ได้...
และอาชีพที่คนทำงานเป็นกะ เป็นแอร์ ต้องเดินทางบ่อย ก็มีผลทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล ไม่เดินตามนาฬิกาชีวิตที่ธรรมชาติสร้างเอาไว้ ก็ส่งผลต่อสุขภาพและเป็นอีกสาเหตุของสิวเหมือนกันค่ะ

หลายคนตอนวัยรุ่นหน้ายังใสแม้ใช้ชีวิตราตรียาวนาน ก็เลยชะล่าใจ ใช้แบบนั้นไปหลายปี

บีมอยากบอกว่า มีหลายเคสที่บีมเจอคือ รูปตอนไม่เป็นสิวคือ เป็นวัยรุ่นจนถึงจบมหาลัย ใสมากกก ใสกิ๊ง แม้จะเที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตแบบสุด ๆ

แต่พอได้เข้ามาปรึกษาบีม ส่วนใหญ่จะวัยใกล้ 30 หรือเลยไปนิดนึง สิวมาแบบไม่ปราณีปราศรัยก็หลายเคสค่ะ

ดังนั้น อย่าได้ไปอิจฉาเพื่อนๆ ที่ทำอะไรแล้วสิวไม่ขึ้น มันยังไม่ถึงเวลาของเขาค่ะ

เราน่าจะขอบคุณที่สิวมันมาเร็วซะตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่เรายังมีพลังซ่อมแซมสุขภาพมากอยู่นะคะ นาน ๆ ไปแล้วแก้ยากขึ้น และใช้เวลาเยอะขึ้นค่ะ ขอบอก ^^

บทความของหมอชาวบ้านที่ยกมานี้ จะอธิบายว่าทำไมการนอนผิดเวลาจึงส่งผลเสียต่อสุขภาพ

คนที่ชอบเพลียกลางวัน คึกคักกลางคืน ก็เข้าข่ายนี้หมดนะคะ

และเขามีวิธีแนะนำว่าทำอย่างไรจึงจะเข้านอนได้สุขสงบและยาวนานขึ้นค่ะ

อ่านต่อที่ http://www.doctor.or.th/article/detail/1519

บันทึกหมอแดง 04/02/ 2552 :: ระบบย่อยอาหารไม่ดี


หนึ่งในปัญหาที่คนเป็นสิวต้องเป็นคือ ระบบย่อยอาหารไม่ดี พอดีบีมไปเจอบทความนี้ของคุณหมอแดง จึงขอนำมาโพสต์เอาไว้เผื่อให้เพื่อน ๆ ไปศึกษาต่อค่ะ ลองพิจารณาว่าตัวเองมีพฤติกรรมการทานอาหารอย่างไรกันบ้าง

และคุณหมอแดงเขียนไว้ัชัดเจนว่า

เพราะระบบย่อยอาหารเมื่อเสียสมดุล การที่จะฟื้นฟูขึ้นมาให้ดีดังเดิมนั้นต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน จให้โรคที่เป็นมา 3 ปีแล้วหายไปในเวลาไม่กี่วันนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่ ต้องใช้เวลา และถ้ามีความเครียดเข้ามาเสริมด้วย การรักษาก็ยิ่งยากใหญ่
ดังนั้น ใครที่มีพฤติกรรมการทานอาหารและสุขภาพอื่น ๆ ที่ผิดมานานจนร่างกายแปรปรวน ควรต้องคาดหวังระยะเวลาในการรักษาสิวของตัวเองอย่างน้อย 6 เดือน และถ้าทำสม่ำเสมอ ภายใน 1 ปีก็จะเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้นค่ะ

อ่านบทความต่อที่ http://www.the-arokaya.com/web5/index.php?option=com_content&view=article&id=356:-0402-2552--&catid=41:2010-03-31-09-26-33&Itemid=198

Saturday, June 23, 2012

ตอบข้อสงสัย : ปรับราคาลงได้ไหม ทำไมราคาโหดจัง แค่ขายออนไลน์เอง


บีมอธิบายทีละข้อนะคะ

1. การที่คุณเก๋เข้าใจว่าเราขายเฉพาะออนไลน์และบอกปากต่อปากนั้น อาจไม่ถูกต้อง 100% ค่ะ เพราะเรามีออฟฟิต 3 ห้อง มีค่าเช่าทั้งหมด 3 ห้อง ห้องหนึ่งคือ MarryBeam ห้องหนึ่งคือ PRETTYS อีกห้องเรากำลังจะเปิดในอนาคตทำ Line อื่นค่ะ ขณะนี้เรามีพนักงานทั้งหมด 8 คนที่เราต้องจ่ายเงินเดือนทุกเดือน เรามีค่าการตลาดออนไลน์ที่ต้องจ่ายทุกเดือนซึ่งมากกว่าการไปเช่าพื้นที่ในห้างเสียอีกค่ะ นอกจากนี้ เมื่อสั่งเกิน 2,000 บาท เราก็รับผิดชอบในส่วนของค่าส่งและค่าพัสดุทั้งหมด และยังไม่รวมค่าจัดทำโบรชัวร์ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ค่าออกแบบแพงใช้ได้ค่ะ เพราะเราก็อยากทำออกมาให้ดี เราก็เลือกคนที่มีฝีมือทำให้ ดังนั้น cost ในส่วนของการบริหารจัดการก็ถือว่ามากพอสมควรเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดปานกลางอย่างเราค่ะ

2. ในการใช้มาส์กหรือผลิตภัณฑ์ของเรา เรามี step และขั้นตอนชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าได้อ่านคู่มือผู้ใช้ที่เราทำมาใหม่ จะเห็นชัดเลยว่าเรามี 1 2 3 4 ชัดเจน และบีมบอกวิธีลด cost ให้ด้วยนะคะ และถ้าคนที่เข้ามาปรึกษาบีมก่อน บีมถามก่อนตลอดว่ามีงบเท่าไหร่ อยากรักษาแบบไหน บีมก็ต้องรู้ว่าแต่ละคนเขาต้องการแบบไหนยังไง และก็ตอบโจทย์เขาไปให้เหมาะสมค่ะ บีมไม่เคยจัดอะไรที่เกินเลยไปจากงบหรือกำลังของเขา ถ้าเขาไม่เอา บีมไม่เคยยัดเยียด และถ้าทำตาม step แล้ว ส่วนใหญ่จะประหยัดจริง ๆ และลูกค้าบางคนพอเขาผิวแข็งแรงแล้ว เขาก็อาจไปใช้ยี่ห้ออะไรตามใจเขานะคะ คือ ในการซ่อมแซมผิวทั้งภายในและภายนอก cost มันต้องสูงในตอนแรกอยู่แล้วเป็นธรรมดาค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนปรับพฤติกรรมใหม่ อาหารใหม่ ๆ แต่ถ้าใครปรับร่างกายได้ดีแล้ว ภายในแข็งแรง ไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังอะไร เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของบีมเลยก็ได้ค่ะ ซึ่งบีมก็เห็นหลายคนเหมือนกัน

บีมไม่ได้หวังเลี้ยงเอาเงินจากคนในระยะยาวค่ะ บีมอยากให้เขาเต็มที่ให้ดีที่สุดในช่วงแรก พอผิวดีแล้ว เราก็ดีใจด้วย ซึ่งเราก็ใจกว้างพอที่จะให้เขาไปใช้แบรนด์อื่นตามที่เขาต้องการค่ะ ไม่ได้เลี้ยงเอาไว้แม้แต่น้อยเลย

3.ขณะนี้บีมพึ่งทำธุรกิจมาได้เข้าปีที่ 3 ค่ะ ในทางด้านธุรกิจ การมาได้ขนาดนี้ถือว่าค่อนข้างเร็ว แต่เรายังอยู่ในฐานะธุรกิจระดับกลางค่ะ ยังไม่ใหญ่เท่าแบรนด์ที่คุณเก๋อาจจะเอ่ยถึง เพราะแบรนด์ใหญ่ ๆ เงินทุนย่อมสูงกว่าและสามารถสั่งผลิตได้ในปริมาณที่มากกว่า ต้นทุนย่อมต่ำกว่าอย่างแน่นอน และบีมยังคงเน้น Nitch Market ค่ะ ถ้าคุณเก๋มาเป็นพนักงานหรือคนทำงานร่วมกันกับบีม ก็จะทราบว่า บีมยังคง Nitch Market คือ กลุ่มเป็นสิวเรื้อรังอยู่ค่ะ ส่วนที่ไม่ใช่เรามี แต่น้อยค่ะ เราเองต้องดูแลกลุ่มสิวเรื้อรังเป็้นงานหลักและงานหนักอยู่แล้ว เราจึงยังไม่คิดผลิตสูตรใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มทั่วไปเพิ่มเติมค่ะ เรามีแค่ PRETTYS ที่ยังพึ่งเริ่มต้นแค่นั้นเอง ก็เพียงแค่เอามาเสริมในตอนนี้ค่ะ เพราะมันช่วยให้รอยสิวจางลงเยอะจริง และเราก็เน้นตลาดที่เชียงรายค่ะ ดังนั้น มันก็จะเป็นการบริหารในอีกรูปแบบหนึ่งที่แยกออกไป เอามาปนกันหรือเทียบกับ MarryBeam ไม่ได้ค่ะ

อย่าง Aritstry สั่งผลิตครั้งหนึ่ง ขายได้ทั่วโลก ไม่ต้องพูดถึงต้นทุน แต่ของบีม ทำธุรกิจเงินสด ต้องหมุนตลอดด้วยตัวเอง ไม่เคยกู้ยืมนะคะ หมุนแบบนี้มาแต่ต้น ดังนั้น กำลังเงินทุนไม่เท่ากันอยู่แล้วค่ะ ต้นทุนต่อชิ้นจึงสูงกว่า ประกอบกับ cost ที่มากกว่า ราคาที่เรากำหนดมาจึงสมเหตุสมผลดีแล้วนะคะ เพราะเราก็ include ต้นทุนหลายอย่างในนั้น โดยที่ลูกค้าไม่ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมเลยค่ะ

4. ของที่หมดบ่อย ๆ นั้น บีมพึ่งทราบจากทางโรงงานว่าเป็นเพราะทางนู้นเขาปรับเปลี่ยนการบริหารภายในค่ะ เลยทำให้ของขาดไประยะหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนของโรงงาน บีมไม่สามารถทำอะไรได้ค่ะ และก็เข้าใจลูกค้าค่ะ ซึ่งทางเราก็กดดันเหมือนกันค่ะ แต่บีมได้คุยกับทางโรงงานแล้ว เขาชี้แจงมาแล้ว หลังจากนี้ไปปัญหาที่ของขาดนี้น่าจะได้รับการแก้ไขแล้วค่ะ แต่ปริมาณการสั่งผลิตบีมคงอยู่ที่ประเภทละไม่เิกิน 200 ชิ้นค่ะ เพราะทุนที่เรามีหมุนทำได้ประมาณนี้ แต่สิ่งที่เราะปรับปรุงคือ ระบบการสั่งซื้อล่วงหน้าจากโรงงานค่ะ เราก็หวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่อง stock ได้ดีขึ้นค่ะ เราก็พยายามแก้ปัญหากันอยู่เสมอค่ะ ไม่เคยนิ่งเฉยเลย

‎5. เรื่องการปรับราคา บีมมองอยู่ตลอดค่ะ รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราคงยังไม่สามารถปรับลงได้ในตอนนี้เพราะต้นทุนของเราสูงอยู่มาก แต่เราพยายามชดเชยด้วยการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งเราก็พึ่งจะจับทางได้ถูกต้องมากขึ้นว่าตัวไหนใช้ดีหรือไม่ดี ตอบโจทย์ลูกค้าหรือไม่อย่างไร ดังที่คุณเก๋จะเห็นในคู่มือผู้ใช้ MarryBeam ว่า บีมคัดให้เหลือเพียงไม่กี่รายการ (น่าจะไม่เกิน 40 ค่ะ) เหลือเฉพาะที่คนใช้แล้วดีเท่านั้น เห็นผลเท่านั้น คัดเอาตัวที่ขายไม่ดี ขายช้า ออกไปหมดแล้วนะคะ ซึ่งเราก็หวังว่าในอนาคตเราจะสามารถปรับลดราคาได้เพราะเรามีรายการสินค้าที่เราคัดไว้แล้วแบบนี้ค่ะ ก็คงจะบริหารจัดการได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องรอเวลาค่ะ ถ้าคุณเก๋ทำธุรกิจก็คงจะเข้าใจตรงนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ

6. เรื่องโครงการน้องปูเป้ รักษาสิวฟรี จะบอกว่าเป็นโครงการที่เราหวัง ผลด้านการตลาดก็ได้ค่ะ บีมไ่ม่โกรธ เพราะในทางธุรกิจ เราก็อยากจะให้คนรู้จักเรา แต่จะในรูปแบบไหน มันก็ต้องตีโจทย์ไปอีก ซึ่งโครงการนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ และถือว่า Win-Win ทั้งหมด ทั้งน้องเป้ ทั้งบีม ทั้ง MarryBeam ทั้งตลาดท้องถิ่น จบโครงการแล้วน้องเป้เขาก็ไปดูแลคนอื่นได้ต่อ เขาก็ไปต่อยอดทำอะไรไ้ด้อีก ตัวบีมก็มีเคสที่จับต้องได้ ได้พัฒนาความรู้ ได้มีหลักฐานว่าบีมเองก็สามารถดูแลคนเป็นสิวให้ดีขึ้นได้จริง MarryBeam ก็ได้รับความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น ทุกอย่าง Win หมด

ถ้าเรามีของดี เราก็อยากให้คนรู้จัก ดังนั้น โครงการต่าง ๆ ที่บีมทำ ก็ถือได้ว่าเป็นการตลาดค่ะ และหวังผลทางธุรกิจไปด้วย เพราะบีมทำธุรกิจ ธุรกิจต้องมีกำไรจึงจะอยู่ได้ ถ้าเราทำองค์กรการกุศล แล้วขายสินค้าราคาแบบนี้หรือหวังผลทางธุรกิจก็สมควรจะโดนด่าค่ะ เป็นบีมก็ด่า แต่ด้วยบีมเข้าใจแล้วว่าฐานะตัวเอง นอกจากจะเป็นที่ปรึกษาซึ่งหลายครั้งบีมก็ให้วิทยาทานฟรี ๆ เลย ไม่เคยคิดค่าเสียเวลาของตัวเอง แต่ในฐานะผู้บริหารแบรนด์ เราก็ต้องรู้จักต้นทุน รู้จักการบริหารงาน บริหารงาน ให้มันอยู่รอด เราก็ต้องรู้จักทำการตลาด และอะไรอีกมากมายเพื่อให้มันอยู่รอดค่ะ

แต่ทุกครั้งที่บีมจะทำอะไร บีมจะมองว่า
1. มันผิดศีลมั้ย
2. มันผิดศีลธรรมมั้ย
3. ทุกคนได้ประโยชน์มั้ย
4. ทำร้ายใครหรือเปล่า

ถ้าไม่...บีมก็ทำค่ะ

สุดท้ายบีมต้องขอบคุณคุณเก๋ที่เปิดประเด็นและทำให้บีมมีพื้นที่ในการอธิบายใครหลาย ๆ คนที่อาจจะพึ่งเข้ามารู้จัก MarryBeam หรือมีคำถามเหมือนคุณเก๋ ให้เขาได้เข้าใจเรามากขึ้นค่ะ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย บีมไม่โกรธเลยถ้าลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปใช้ของยี่ห้ออื่น ไปคลินิก หรือไปที่ไหน เพราะบีมถือว่าทุกครั้งที่คิด พูด ทำกับ MarryBeam บีมทำดีทีุ่สุดในตอนนั้น ๆ แล้วค่ะ และก็พยายามปรับปรุงพัฒนาเรื่อย ๆ เท่าที่เราจะมีกำลังทำได้ค่      

Wednesday, June 20, 2012

สิวอักเสบแดง ๆ ที่แก้มเกิดจากอะไรคะ

ถาม พี่บีมเพราะอะไรสิวถึงเป็นๆหายๆอะคะ ช่วงนี้สิวเเดงๆอักเสบขึ้นหนักเลยเเละตั้งเเต่หนูเริ่มเป็นสิวมาหนูจะเป็นอักเสบเเดงๆที่หน้าเเก้มตลอดเลยเป็นตรงหน้าเเก้มเพราะอะไรหรอคะ


ตอบ หนูพึ่งเริ่มรักษาตัวเองค่ะ หนูลองคำนวณว่าเราเป็นสิวมานานกี่ปีแล้วน่ะค่ะ ถ้านานหน่อยและเคยหาหมอก็จะต้องกะเวลาเอาไว้ประมาณ 3 เดือนถึง 1 ปี ถ้าจะให้ดีที่สุดคือ 1 ปีขึ้นไปค่ะกว่าที่ระบบภายในเขาจะล้างของเสียเก่าของตัวเองออกหมดและปรับให้เป็นเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนค่ะสิวที่ขึ้นในตอนนี้ ถ้าเราดูแลตัวเองดีแล้วยังขึ้น ส่วนใหญ่สาเหตุเกิดจากระบบภายในกำจัดของเสียและพิษร้อนเก่า ๆ น่ะค่ะ เขาจะค่อยๆ ทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ มันจะขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้ไปอย่างน้อยก็ 3 เดือนค่ะ แต่ปริมาณและขนาดและค่อยๆ  ลดลงค่ะ
สิวแดงๆ อักเสบ ๆ แสดงว่าเขากำลังกำจัดพิษร้อนค่ะ (ถ้าดูแลตัวเองดีอยู่นะคะ ไม่ได้เติมพิษร้อนให้ตัวเองเพิ่ม หรืออากาศไม่ได้ร้อนจัดค่ะ)
สิวที่แก้มส่วนใหญ่เป็นเพราะตับร้อนค่ะ ตับร้อนเกิดจาก

  1. ทานยาหรือสารเคมีมาเยอะ บางรายทานอาหารเสริมเยอะไปก็ตับร้อนได้ค่ะ
  2. สมุนไพรบางประเภทที่ทำให้ตับร้อน
  3. อารมณ์หงุดหงิดแปรปรวนง่าย ขี้โมโห
  4. นอนดึกเกิน 5 ทุ่ม
  5. นอนหลับไม่ค่อยสนิท
  6. ทานอาหารฤทธิ์ร้อนมากเกินไป
ถ้าส่วนอื่นของผิวหน้าดีแล้ว เหลือสิวบางบริเวณและเป็นที่แก้ม ก็ต้องสำรวจปอด ตับ ลำไส้ใหญ่ค่ะ 3 ระบบนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่เขาก็จะสัมพันธ์กันหมดค่ะ
ลำไส้ใหญ่จะมีเส้นเลือดดำส่งมาที่ตับค่ะ
ปอดมีเส้นลมปราณเืชื่อมกับลำไส้ใหญ่ค่ะ
ดังนั้น ส่วนใหญ่ถ้าจะแก้เืรื่องพิษและขับพิษ เขาก็เริ่มที่ลำไส้ก่อนค่ะ เพราะที่นั่นของเสียหมักหมมเยอะสุด และเราก็ไปซาวน่า อบสมุนไพรช่วยให้พิษขับออกทางผิวหนัง ตับกับไตจะได้ไม่รับภาระหนักในการกำจัดพิษนั่นเองค่ะ
และอย่าลืมทานย่านาง ผักผลไม้ฤทธิ์เย็น และปรับการนอนให้เร็วขึ้นเวลาที่รู้สึกว่ามีสิวจากพิษร้อนค่ะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ ช่วง 15.00 - 17.00 น. เพื่อช่วยไตขับพิษอีกทางด้วยค่ะ

พี่บีม

Friday, June 15, 2012

แนะวิธีทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีน้ำมีนวล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำงานเป็นกะ)

มีลูกค้าเีขียนสอบถามมาค่ะ ซึ่งมีเืงื่อนไขคือ ทำงานเป็นกะ ในทางธรรมชาตินั้น การทำงานเป็นกะค่อนข้างที่จะขัดกับนาฬิกาชีวิตของร่างกาย รวมไปถึงผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย แอร์โฮสเตส นักบิน นักธุรกิจ มักจะมีปัญหาสุขภาพกันมากเพราะร่างกายต้องปรับตัวบ่อย ถ้าแข็งแรงและรู้จักวิธีดูแลตัวเองก็ดีไปค่ะ แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวแล้ว คราวนี้ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ นานามาเยือนแน่นอน

บีมเขียนตอบอีเมลลูกค้าท่านนี้ที่ทำงานเป็นกะค่ะว่า จะทำอย่างไรให้ผิวพรรณดูมีน้ำมีนวลขึ้นในสภาวะงานที่เธอทำอยู่ค่ะ

คุณนกผิวแห้ง เราคิดง่าย ๆ ค่ะว่าเหมือนต้นว่างหางจระเข้ที่มันเหี่ยวเนอะ หรือคุณนกเคยเห็นแคคตัสมั้ยคะ ถ้าเขาเลี้ยงดีจะเต่งเชียว แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดี เขาจะเหี่ยวค่ะ

ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำ 80% ขึ้นไปค่ะ 

สาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณของเราไม่สดใสมีน้ำมีนวล มีดังนี้ค่ะ
  1. มีน้ำในร่างกายน้อยไป ไม่พอต่อความต้องการของร่างกาย อาจเกิดจากภาวะร้อนเกินสะสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีไฟเผาเซลล์ตลอดเวลา ในเคสของคุณนกจะเป็นเพราะงานที่ทำเป็นกะด้วยค่ะ เพราะการนอนเกิน 5 ทุ่มจะทำให้ตับร้อน พอตับร้อนคราวนี้ทุกอย่างก็จะร้อน ๆ ไปด้วยค่ะ ถ้าเป็นแผนจีนเขาจะมียาที่ทำให้ตับเย็นลงค่ะ เรียกว่ายาสงบตับ แต่ถ้าเราจะลองรักษาเองก่อนเบื้องต้น แนะนำให้ทานน้ำย่านางสกัดเป็นประจำและหลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมให้มากทีุ่สุดก่อนค่ะ ตับเขาชอบสีเขียว ชอบธรรมชาติ ชอบความสงบเย็น ชอบการพักผ่อน ชอบอาหารสดสะอาด แนะนำคุณนกซื้อหนังสือชื่อว่า ถนอมตับ ยับยั้งสารพัดโรค นะคะ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตับที่อ่านไม่ยาก แต่อาจงงนิดนึง และเขาจะแนะนำอาหารที่บำรุงตับด้วยค่ะ ก็จะมีส่วนพุง ครีบและหัวปลา หอยนางรม หอยแครง หอยกาบ เป็นต้นค่ะ ลองอ่านดูนะคะ คนที่ทำงานเป็นกะ เส้นลมปราณตับและถุงน้ำดีจะค่อนข้างมีปัญหาค่ะ การที่คุณนกมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวด้วยก็มาจากสาเหตุนี้ด้วยค่ะ แนะนำให้อ่านด่วนเลยเนอะ ^^
  2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  3. ทานของหวาน อาหารหวาน ผลไม้หวาน การทานพวกนี้จะทำให้เซลล์เหี่ยวค่ะ และคอลลาเจนหดหายด้วย (ทำลายคอลลาเจน)
  4. เลือดลมหมุนเวียนไม่ดี เกิดมาจากสาเหตุที่ตับด้วยค่ะ แผนจีนน่าจะเรียกว่า ตับอั้นชี่คั่ง คือ ลมปราณตับมันเดินไม่สะดวก ตับเขาทำงานเกี่ยวกับการแจกจ่ายเลือด คนที่ตับมีปัญหาจะทำให้เลือดน้อย ไหลไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ไม่ดี ปวดท้องประจำเดือนด้วยค่ะ ซึ่งเลือดจะขนถ่ายสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายและพาเอาของเสีย ความร้อนออกจากเซลล์เหมือนกัน ถ้าเลือดลมเราไม่ดี เซลล์ก็จะหมอง เพราะจะมีพิษตกค้าง ของเสียตกค้าง และไม่ได้รับสารอาหารกับออกซิเจนเพียงพอค่ะ
งานของคุณนกจะ้ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษค่ะ การทานอาหารเสริมอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้นได้มากค่ะ และกลับจะเป็นภาระต่อตับเพิ่มด้วยค่ะ

บีมแนะนำให้คุณนก
  1. ล้างลำไส้เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อกำจัดของเสียตกค้างในลำไส้ซึ่งคุณนกน่าจะมีเยอะเพราะตับกับถุงน้ำดีเขาจะช่วยย่อยอาหารไม่ค่่อยได้มากค่ะ จะทำให้มีของเสียตกค้างในลำไส้เยอะ
  2. ออกกำลังกายแบบโยคะ ไทเก๊ก ชี่กงในที่อากาศบริสุทธิ์เพื่อเพิ่มพลังให้กับตับและไต และปรับสมดุลร่างกายทุกส่วนรวมถึงจิตใจด้วยค่ะ เพราะอารมณ์ที่มั่นคง สบาย ๆ จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้นทั้งระบบเลย เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และให้ผลดีค่ะ ยิ่งถ้าได้ฝึกนั่งสมาธิ รู้ลมหายใจเข้าออกเสมอ ยิ่งทำบ่อย ยิ่งส่งผลดีต่อตับและระบบฮอร์โมนค่ะ
  3. ไปอบซาวน่า สตีม สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยในการขนถ่ายของเสียออกทางผิวหนังโดยตรง ของเสียที่ตกค้างอยู่ที่ผิวที่ทำให้ผิวไม่สดใสก็จะถูกขับไปพร้อมเหงื่อค่ะ พอพิษถูกขับออกทางผิวหนังก็จะช่วยลดภาระของตับกับไตในการจัดการของเสียของร่างกายด้วย และระหว่างที่อบนั้น ความร้อนที่เราหายใจเข้าไปและที่เราได้รับ จะไปช่วยเพิ่มการเต้นของหัวใจ การหมุนเวียนของของเหลว ทั้งเลือดและำน้ำเหลืองในร่างกาย ยิ่งถ้าได้มีการขัดนวดผิวระหว่างและหลังจากอบแล้ว จะยิ่งช่วยให้น้ำเหลืองสะอาดและภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นค่ะ
  4. ดื่มน้ำเปล่าสะอาดที่ไม่เย็นให้เพียงพอ สังเกตได้ว่าถ้าเพียงพอริมฝีปากจะชุ่มชื้นตลอดเวลาโดยไม่ต้องทาลิปมันเลยค่ะ สังเกตง่ายมาก ๆ
  5. พกน้ำย่านางสกัดไว้เป็นประจำ เอาผสมในน้ำดื่ม จิบดื่มตลอดวัน ตราบเท่าที่ยังมีภาวะร้อนเกินอยู่ค่ะ
  6. นอนหลับพักผ่อนทุกเมื่อ หรือเพียงแค่ยกขา 2 ข้างขึ้นเก้าอี้ แล้วนอนพักผ่อนที่ออฟฟิต หลับตา สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ สัก 5 นาทีก็สามารถช่วยผ่อนคลายตับได้ค่ะ เมื่อเราหลับหรืออยู่นิ่ง ๆ ได้นอนพัก เลือดจะไหลกลับไปที่อวัยวะภายในค่ะ หลังมื้ออาหารทุกมื้อ ถ้าเป็นไปได้ให้พักหรือให้นอนประมาณ 15-30 นาทีค่ะ จะช่วยให้ร่างกายย่อยสารอาหารได้ดีขึ้นและดูดซึมได้ดีขึ้นค่ะ (ประยุกต์คำแนะนำมาจาก ถนอมตับ ยับยั้งสารพัดโรค)
  7. ทาตัวบำรุงผิว ถ้าชอบแบบธรรมชาติก็เป็นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกก็ได้ค่ะ เพื่อช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำที่ผิวได้
ลองทำดูประมาณนี้นะคะคุณนก ได้ผลอย่างไรก็มาอัพเดทกันค่ะ

บีม

Thursday, June 14, 2012

สูตรรักษาสิวอักเสบ-ร้อนแดงแบบประหยัด

บีมพึ่งตอบอีเมลน้องท่านหนึ่งค่ะ น้องเขาเป็นนักศึกษาอยู่และรายได้ไม่มากค่ะ และน้องเขาก็พยายามอย่างมากในการรักษาสิวด้วยตัวเองค่ะ โชคดีที่เขาไม่เคยทานยาแต่มีภาวะท้องผูกเรื้อรังมาก่อนค่ะ

ตอนแรกที่มาปรึกษาน้องเขาจะมีสิวไม่อักเสบ เป็นพวกอุดตันและเม็ดไขมันบนหน้าผาก แก้ม บนริมฝีปากเยอะค่ะ และบีมได้แนะนำให้น้องเขาปรับสุขภาพลำไส้ไป ที่เขาทำได้ก็จะมีการดื่มน้ำมะนาวทุกเช้าค่ะ เพราะเขาติดว่ามีรับน้อง เลยมีข้อจำกัดเยอะหน่อยค่ะ เขาปรับได้สักพัก สิวอักเสบเก่าเริ่มยุบ และจะมีสิวขับพิษร้อนจากลำไส้ขึ้นมาแบบนี้นะคะ


บีมเห็นว่าน้องเขายังเป็นนักศึกษาอยู่ และรายได้ไม่มาก จึงได้ลองแนะนำสูตรที่คิดว่าน่าจะเวิร์คสำหรับเคสนี้มาค่ะโดยอิงจากประสบการณ์ของบีมนี่แหละ เอามาสังเคราะห์วิธีให้น้องเขาใหม่ แล้วจะรอติดตามผลค่ะ
  1. หลังล้างหน้าให้ใ้ช้ไข่ขาวแยกจากไข่แดง ตีฟู แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว ทาเยิ้มๆ เลยค่ะ แล้วไำปทำนู่นนี่และห้ามพูดกับใครเพราะเราจะปล่อยให้หน้ามันตึงด้วยไข่ขาวดึงนะคะ แต่ถ้าต้องพูดนิดหน่อยไม่เป็นไรค่ะ พยายามอย่าให้มันแตกค่ะ ถ้าช้าแล้วรีบหรือง่วงก็อยู่หน้าพัดลมเลยค่ะ พอมันตึง ดึง ๆ เยอะ ๆ ก็ล้างออกค่ะ แนะนำให้ไข่ขาวแห้งเลยค่ะ เพราะช่วงที่แห้ง เขาจะดึงและซับสิ่งตกค้างได้ดีกว่าตอนเหลว ๆ ค่ะ
  2. ล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดหรือใช้เจลล้างหน้า (หนูใช้ของอะไรอยู่นะคะ) ซับหน้า แล้วเอาไข่แดงมาตีให้แตก แต่ไม่ต้องฟูค่ะ แล้วทาทั่วหน้าสัก 15 นาทีีแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าค่
  3. ประคบบริเวณที่ร้อนหรือแดงด้วยน้ำแข็งประมาณ 5 นาที และใช้น้ำแข็งลูบเบา ๆ ทั่วหน้าและลำคอ
  4. หยดน้ำย่านางลงบนสำลีหมาดให้พอได้กลิ่นแล้วเช็ดให้ทั่วหน้าอย่างเบามือประมาณ 2 รอบ และทาน้ำย่านางให้ทั่วหน้า เน้นบริเวณที่เป็นสิวอักเสบและร้อนแดง และรอยสิว ให้พอชุ่มผิวแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่ต้องล้างออก
ทำแบบนี้ทุกวันก่อนนอนค่ะ

สำหรับตอนเช้า ล้างหน้าเสร็จ ก็ใช้สำลีหมาดหยดน้ำย่านางแล้วเช็ดผิวให้สะอาด และก็ออกไปได้เลยค่ะ

พกย่านางไปด้วยก็ได้ค่ะ ช่วงกลางวันหรือเย็นที่ร้อนผิวหรือคันสิว ก็แนะนำให้ดื่มน้ำย่านางผสมน้ำเปล่า หรือหนูจะผสมในขวดน้ำแล้วจิบดื่มตลอดวันก็ได้ค่ะ และนำมาทาบริเวณที่อักเสบร้อนแดงได้ค่ะ


หมายเหตุ น้ำย่านาง หมายถึงน้ำย่านางสกัดเย็นนะคะ จะใสๆ บางเจ้าจะใส่ใบเตยค่ะ หอมและทานง่าย เพียงแค่ผสมน้ำก็ดื่มได้แล้ว เหมาะกับเป็นเครื่องดื่มดับร้อนที่สะดวกที่สุดและมีประโยชน์กว่าเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่จำหน่ายทั่วไปเลยค่ะ ประหยัดมากด้วย


บีมแนะนำให้อุดหนุนร้านคุณลุงอนันต์นะคะ คุณลุงกับคุณป้าน่ารักม้ากกก ถามอะไรตอบหมด และให้คำตอบดีด้วยค่ะ


ร้านรักชีวิต คุณลุงอนันต์


ตัวอย่างภาพน้ำย่านางสกัดเย็นค่ะ จะใส ๆ แบบนี้แหละ ถ้าใครบ้านอยู่ใกล้ร้านสมุนไพรก็ลองไปหาดูนะคะ ไม่แพง ๆ หรือใครจะำทำเองก็ ลองค้นหาใน google ด้วยคำประมาณนี้นะคะ วิธีทำน้ำย่านาง สกัดเย็นสูตรหมอเขียว


ได้ผลยังไงก็มาอัพเดทกันที่ @Marry_Beam หรือ www.facebook.com/marrybeam ได้จ้า


เผื่อเอาไว้เป็นสูตรใช้ตอนทรัพย์จางด้วยเนอะ ^^

Thursday, June 7, 2012

วิธีการล้างพิษ 1 วันในแบบฉบับของบีม

เนื่องจากสัปดาห์ก่อน บีมทำ Q&A ให้ไม่ทันค่ะ เพราะมันเยอะมากและไปออกบู๊ทกัน 3 วัน เหนื่อยมาก ๆ กลับมาถึงบ้านสลบเป็นตายนอนถึงเช้า เลยไม่มีเวลาได้รวบรวม Q&A ให้เลยค่ะ

แต่ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าบีมอ่านแล้วนำเสนอสิ่งที่คิดว่าหลายคนน่าจะสนใจ หรือถามซ้ำกันเข้ามามาก ๆ หรือเป็นปัญหาที่หลายคนเจอเหมือน ๆ กันนะคะ จะได้เขียนอธิบายทีเีดียวที่บล็อกนี้เลย

เนื่องจากมีน้องจาก FanPage MarryBeam เสนอประเด็นมาว่าอยากจะให้บีมแนะนำการล้างลำไส้ในแบบของบีมค่ะ

พี่บีมคะ พอดีจูนอยากถามเกี่ยวกับวิธีการดีท็อกซ์ลำไส้แบบฉบับพี่บีมจังเลย พี่บีมพอจะมีไว้เป็นตารางให้ทำตามได้เลยมั้ยคะ ช่วงนี้หนูจะเตรียมสอบ แล้วนอนดึกด้วย ส่งผลให้ระบบขับถ่ายไม่ค่อยดี เลยพลอยทำให้ผิวพรรณไม่สดใสตามไปด้วย หากพี่บีมพอจะเผยแพร่ได้บ้าง จะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^^
ค่ะจูนอยากทราบทั้งเรื่องของการเตรียมพร้อมก่อนล้างลำไส้ และการปฏิบัติตัวระหว่างการล้างลำไส้อะค่ะว่าทำยังไง ทานอะไรยังไงตอนไหนบ้างอย่างนี้อะค่ะ เยอะไปไหมคะ แหะๆ (จูนสะดุ้งตื่นมาพอดีเลย) - ขอบคุณล่วงหน้าค่ะพี่บีม ^^

บีมก็เลยคิดว่าหลายคนก็คงอยากรู้เหมือนกันว่าเวลาบีมล้างลำไส้บีมทำอะไร กินอะไรบ้างใช่มั้ยคะ แต่บีมขอรวมไปเป็น การล้างพิษใน 1 วันเลยนะคะ เพราะมันครอบคลุมดีค่ะ และปกติแล้วบีมเองก็เป็นสิวจากพวกอาหารและความเครียดค่ะ ซึ่งการล้างพิษในรูปแบบนี้ช่วยได้เยอะเลยค่ะ

เรามาเริ่มกันเลยนะคะ
  1. เริ่มจากการเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อสะสมพลังงานลมปราณเอาไว้ให้ช่วยขับถ่ายในตอนเช้า
  2. ทาน CLEAN 2 แคปซูล (เป็นโดสปกติที่บีมทานแล้วกำลังดีค่ะ ออกไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่ถ้าช่วงไหนรู้สึกว่าสิวจากอาหารและลำไส้เยอะไป จะทาน 3 แคปซูลค่ะ) โดยการแกะแคปซูลผสมเฉพาะผงสมุนไพรลงในน้ำเปล่าสะอาดอุ่นหรือไม่เย็นประมาณ 1 แก้ว แล้วตามด้วยน้ำสะอาดอีก 1 แก้วค่ะ
  3. ดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว (ในรายที่เริ่มรักษาใหม่ ๆ แนะนำน้ำมะนาว 1/2 ลูกผสมน้ำ 250 ml หรือ 1 ลูกต่อน้ำประมาณเกือบ 1 ลิตรค่ะ หรือจะใช้น้ำ Apple Cider หรือ น้ำเอ็นไซม์ น้ำหมักเพื่อสุขภาพ ที่มีรสออกเปรี้ยวประมาณ 1 ช้อนโต๊ะลงในน้ำประมาณ 250 ml ถ้าจะตวงเองง่าย ๆ แนะนำให้หาซื้อขวดนมเด็กก็ได้ค่ะ โลตัสแถวบ้านมีแน่ ๆ มันจะมีปริมาณบอกอยู่)

    มีน้อง ๆ MB ที่เป็นทันตแพทย์แนะนำว่า การทานเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว แนะนำให้ใช้หลอดดูดเพื่อป้องกันเคลือบฟันถูกทำลายค่ะ และไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังดื่ม ควรทิ้งระยะไว้ประมาณ 20 นาทีค่ะ ค่อยแปรงฟัน

    และสำหรับบางคนจำเป็นต้องทานชาล้างไตเพราะพิษสะสมเยอะเกินไป (บีมมักจะแนะนำให้คนที่ตาช้ำ ๆ ค่ะ เำพราะ ตาช้ำหมายถึงพิษคั่งค้างในไต ในตับ) ก็ให้ชงดื่มตอนเช้าแทนน้ำ 2 แก้วนี้ไปเลยค่ะ และที่เหลือเก็บไว้จิบต่อระหว่างวัน และดื่มน้ำมาก ๆ ตลอดวันเพื่อช่วยกำจัดพิษที่ถูกขับออกมาให้ออกไป
  4. พอถ่ายเสร็จ ก็จะสวนลำไส้ ซึ่งตอนนี้บีมใช้น้ำมะนาวแทนน้ำกาแฟแล้วค่ะ เพราะใช้กาแฟทีไร ใจสั่นทุกที พอไปเข้าคอร์สพี่ญาตากลับมา ชื่นชอบน้ำมะนาวมากค่ะ และได้เรียนรู้ด้วยว่า แค่น้ำอุ่นที่เปิดจากเครื่องทำน้ำอุ่นก็ใช้สวนให้ของเสียออกมาได้เหมือนกันค่ะ (เดี๋ยวรายละเอียดเกี่ยวกับการสวนลำไส้จะอธิบายอีกทีนะคะ)
หมายเหตุ บีมเป็นคนขับถ่ายง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องขับถ่ายยกเว้น เครียด นอนดึก หรือไม่ค่อยทานอาหารมีกากใยค่ะ ในบางคนต้องมีเทคนิคเพิ่มเติมเช่น การนวดหน้าท้อง การทำท่าโยคะที่ช่วยกระตุ้นลำไส้ การวางขวดน้ำอุ่นและเย็นสลับกันบนท้อง การเล่นฮูล่าฮูป การยืดเ้ส้นยืดสาย การกดจุดที่ร่องใกล้ ๆ จมูกเวลาขับถ่ายเพื่อเพิ่มแรงดันในการถ่าย ฯลฯ 

แต่่ละคนต้องพยายามหาเทคนิคช่วยตัวเองในการขับถ่ายก่อน 7 โมงไว้นะคะ แต่ถ้ามันไม่ออกจริง ๆ แสดงว่าพลัง

อาหารในวันที่ล้างพิษทางเดินอาหาร
ในวันที่จะล้างพิษ บีมจะตั้งใจเลยว่า วันนี้จะ้ล้างพิษ และเราจะกำหนดจิตได้เลยค่ะว่าไม่ต้องทานอะไร หรือทานให้น้อยทีุ่สุด ถ้าจะทานก็จะเป็นน้ำปั่นผักผลไม้ ผลไม้ไม่หวาน น้ำเปล่า ชาล้างไต และอาหารเสริมบางตัว

ตัวอย่างการทานใน 1 วันของบีมนะคะ

มื้อเช้า กล้วยน้ำว้ากิน 2-3 ผล หรือน้ำปั่นผักผลไม้สูตร ดร.รสสุคนธ์ หรือแอปเปิ้ลแดง + มะนาว + คื่นช่าย/ เซเลอรี่

ต้มชาล้างไตเอาไว้ 1 หม้อเล็ก และดื่มให้หมดใน 2 ชั่วโมง (ประมาณ 2 แก้ว)

ถ้าหิวก็จะกินกล้วยน้ำว้า มังคุด หรือผลไม้ตามฤดูกาลที่ไม่หวาน (สำหรับผู้มีภาวะร้อนเกิน แนะนำให้เลือกทานผลไม้ฤทธิ์เย็นค่ะ)

ดื่มน้ำแบบจิบ ๆ ไปตลอด และสลับกับดื่มเป็นแก้ว โดยดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำไม่เย็น (บีมไม่ดื่มน้ำเย็นอยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะวันไหน ๆ ยกเว้นเลือกไม่ได้จริง ๆ)

มื้อกลางวัน กล้วยน้ำว้ากิน 2-3 ผล หรือน้ำปั่นผักผลไม้สูตร ดร.รสสุคนธ์ หรือแอปเปิ้ลแดง + มะนาว + คื่นช่าย/ เซเลอรี่

ช่วงบ่าย ๆ ก็จะเหมือนช่วงเช้า แต่ไม่ดื่มชาล้างไตแล้วค่ะ จะดื่มน้ำเปล่าแทน ซึ่งบ่าย 3-5 โมง บีมจะดื่มเป็นแก้ว ๆ เพื่อช่วยให้ไตเขากำจัดของเสียออกไป 

อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่ดื่มไม่ควรมากเิกินไป แนะนำให้เอา 30x น้ำหนักตัวค่ะ (สูตรจากคุณหมอท่านหนึ่งค่ะ ต้องขออภัยที่จำเว็บไม่ได้แล้ว) และไม่ควรเกินกว่านี้ไปมาก ยกเว้นแต่ว่าเรารู้สึกอึดอัดหรือมีอาการซ่านพิษ ก็ต้องดื่มน้ำช่วยขับออกไป และห้ามกลั้นปัสสาวะกับอุจจาระโดยเด็ดขาด และไม่ควรอยู่ในห้องแอร์ ควรอยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง เผื่อร่างกายอยากขับพิษออกทางเหงื่อ ทางผิว จะได้ออกมาได้ค่ะ

และบ่าย ๆ นี้แหละ จะเริ่มหิวและตาลายและเป็นมารที่จะทำให้ตบะแตกได้ค่ะ แนะนำว่าถ้าอ่อนแรงให้ผสมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำุ่อุ่น 1 แก้ว คน ๆ ให้เข้ากัน และทานกล้วยน้ำว้าหรือผลไม้ประเภทแตงโม ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ได้ค่ะ (หลายคนที่ติดของหวาน เบเกอรี่ น้ำตาล ภาพของเหล่านี้จะลอยมาหลอกหลอนค่ะ แต่ไม่ให้กินค่ะ เราไม่ได้ต้องการของเหล่านั้น เราแค่ต้องการน้ำตาลค่ะ ให้ใช้ผลไม้กับน้ำผึ้งทดแทน)

พออดทนผ่านไปได้ถึงช่วงเย็นก็จะดีขึ้นแล้วค่ะ

บางครั้งบีมจะมี Ensure ทานผสมกับน้ำนมข้าวด้วยค่ะ ยี่ห้อที่ทานประจำจะเป็น V-Fit, Nature-Up ประมาณนี้ และบางครั้งก็จะทานสาหร่ายเกลียวทองแบบแคปซูลไปด้วยค่ะ 

ซึ่ง Ensure นั้นจะหวานหน่อย บีมจะทานเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน

ส่วนสาหร่ายเกลียวทองนั้นก็จะทาน 1-2 ครั้งต่อวันเช่นกันค่ะ ครั้งละ 2 แคปซูล ช่วยเสริมโปรตีนให้ร่างกายค่ะ

ก่อนนอน ทาน CLEAN อีก 2-3 แคปซูลค่ะ แล้วแต่ปริมาณของเสียของแต่ละคนว่ามีมากหรือน้อย หรือธาตุหนัก (ถ่ายยาก) ธาุตุเบา (ถ่ายง่ายเกินไป) และนอนให้เร็ว เพราะพลังที่เราสั่งสมมาในวันล้างพิษนี้จะได้มีมากและมีส่งให้ถุงน้ำดีกับตับเขาไปฟื้นฟูตัวเอง ย่อยไขมันและ้ล้างพิษในยามค่ำคืนค่ะ

ใครที่นอนไม่หลับ อย่ากังวลค่ะ บีมอ่านจากที่นกให้คำปรึกษาเพื่อน ๆ แล้ว อาการนอนไม่หลับเป็นผลมาจากการซ่านพิษด้วยค่ะ ถ้าไม่หลับก็เปิดเพลงเบา ๆ สวดมนต์ หรือทำอะไรที่ทำให้จิตสงบ ๆ ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก ห้ามทำงานเด็ดขาด ดีที่สุดคือ ฝึกรับรู้ลมหายใจเข้าออกค่ะ และหายใจเข้าออกยาว ๆ ในห้องมืด ๆ จะ่ช่วยผ่อนคลายได้มากค่ะ ซึ่งจุดนี้ต้องอาศัยการเข้านอนเร็วอย่างต่อเนื่องไปทุกวัน ร่างกายจึงจะค่อย ๆ ปรับตัวได้ค่ะ

เท่านี้ก็จบแล้วค่ะสำหรับการล้างพิษ 1 วันของบีมแบบง่ายและสะดวกที่สุด

คำแนะนำเพิ่มเติม
  1. ควรกำหนดวันล้างพิษที่แน่นอนใน 1 สัปดาห์ ควรทำให้ได้อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะถ้าเรากำหนดแ้ล้วเราจะตั้งใจ ไม่ตบะแตกแน่นอนค่ะ
  2. ควรหาซื้อผักผลไม้มาตุนไว้ก่อนล้างพิษ 1 วันและล้างให้สะอาด เอาสารพิษออกให้หมดเท่าที่จะทำไ้ด้ กะปริมาณให้ทานหมดใน 1 วัน แนะนำให้มีกล้วยน้ำว้าเป็นหลัก (ถ้าใครทานผลไม้หรือผักชนิดใดแล้วท้องอืดก็ควรหลีกเลี่ยงนะคะ เพราะร่างกายเขาไม่ย่อยสิ่งนั้นค่ะ ให้สังเกตเองนะคะ) ซื้อมาเลย 1 หวีค่ะ เพราะมีสารอาหารเยอะ ให้พลังงาน มีใยอาหาร ครบเครื่อง และบีมแนะนำให้มี Ensure ไว้ด้วยค่ะ เพราะตัวนี้มีสารอาหารค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งเวลาที่เราล้างพิษนั้น ร่างกายเองก็จำเป็นต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนค่ะ แต่เราเน้นว่าไม่ให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงาน ก็ต้องทานในรูปแบบเหลว ๆ ปั่น ๆ ถ้าปั่นก็ต้องเหลวค่ะ หรือจะคั้นก็ได้)
  3. การเสริมโปรตีนให้ร่างกาย บีมมองว่าจำเป็นนะคะ คือ ถ้าเราสามารถปั่นน้ำผักผลไม้หลากหลายดื่มได้ 5-6 แก้วในวันที่ล้างพิษ เราไม่ต้องทานอาหารเสริมอะไรเลยค่ะ เพราะในผักก็จะมีกรดอะมิโนเหมือนกัน ให้โปรตีนได้เหมือนกันค่ะ แต่เขาเป็นโปรตีนแบบไม่สมบูรณ์ ต้องทานร่วมกันหลาย ๆ ชนิดจึงจะให้โปรตีนที่ครบถ้วนได้ค่ะ ซึ่งน้ำปั่นผักผลไม้สดให้ได้แน่นอน แต่ถ้าใครทานได้ไม่เยอะ ไม่ถึง ไม่สะดวก อาหารเสริมโปรตีน เช่น นิวทริไลท์โปรตีนของแอมเวย์ (ไม่ได้ขาย ไม่ได้่ค่าคอมฯ ไม่ได้ค่าโฆษณา แต่เป็นยี่ห้อที่บีมไว้วางใจค่ะ ตอนท้องก็ทานค่ะ เลยขอเขียนระบุไว้ด้วย) แต่ค่อนข้างแพง ซึ่งถ้าใครต้องการแหล่งโปรตีนคุณภาพดีและราคาไม่แพง แนะนำสาหร่ายเกลียวทองค่ะ บีมใช้ของโครงการส่วนพระองค์ฯ (สวนจิตรฯ) ค่ะ

    โปรตีนหรือกรดอะมิโนที่ว่านี้จะถูกใช้ไปในกระบวนการเมตาบอลิซึมของตับเยอะค่ะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการล้างพิษในตับโดยตรงด้วย

    วิธีสังเกตว่าตับแข็งแรงหรือไม่ ให้ดูที่ดวงตากับเล็บค่ะ ถ้าดวงตาสดใส ไม่เหลือง ไม่แดง ไม่ช้ำ ไม่คัน ขาวใสสะอาด และเล็บไม่ฉีกข้าง ไม่ซีด ไม่มีดอกเล็บ นั่นล่ะค่ะ แปลว่าตับได้รับพลังฟื้นฟูมาแล้ว บีมไม่ได้มั่วนะคะ ลองสังเกตดูเองได้ค่ะ

    ถ้าเราไม่ได้รับสารอาหารที่ำจำเป็นหรือมากพอระหว่างวัน ตอนกลางคืนตับก็จะล้างพิษได้ไม่ค่อยดีค่ะ
  4. ควรกำหนดให้เป็นวันที่เราผ่อนคลายมากทีุ่สุด ไม่้ต้องเดินทางไปไหน อยู่บ้านหรือสถานที่สบาย ๆ ปล่อยกาย ปล่อยใจ เพราะถ้าเครียดเมื่อไหร่ อนุมูลอิสระเกิดเมื่อนั้นค่ะ ซึ่งเรากำลังกำจัดเขา อย่าไปเพิ่มเขาค่ะ ทำในสิ่งที่ชอบ สัมผัสสารเคมีให้น้อยที่สุด ไม่ต้องแต่งหน้า ล้างหน้าแล้วปล่อยสบายเลย ใครมีมาส์กสาหร่าย มาส์กผิว ก็ทำไปเลยค่ะ
  5. เรียนรู้เทคนิคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยร่างกายล้างพิษ เช่น นวดเท้า นวดตัว กัวซา อบสมุนไพร อบซาวน่า อบสตีม 
สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านบทความนี้เป็นครั้งแรก บีมแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจเรื่องการล้างพิษอีก 2 บทความค่ะ

มีคำถามอะไรก็ไปคุยกันได้ที่ 

------------------------------------------------------------------------
15/6/12 เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการล้างพิษค่ะ บีมตอบคำถามน้องคนหนึ่งอยู่ คิดว่ามีประโยชน์ เลยเอามาเพิ่มให้ค่ะ

อีกอย่างหนึ่ง เวลาล้างพิษ เราต้องพักเยอะ ๆ relax เยอะ ๆ ค่ะ ห้ามเครียดเลยแหละ เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานที่มีทั้งหมดในการกลับเข้าไปฟื้นฟูระบบภายใน ค่ะ หนูลองคิดดูว่าหนูจะไม่เครียด ไม่ใช้พลังงานเยอะได้กี่วันค่ะ ก็เอาจำนวนวันเท่านั้นแหละเป็นจำนวนวันที่หนูจะล้างพิษ

สำหรับผู้เริ่มต้นพี่แนะนำที่ 1-3 วันค่ะ และใช้การอดด้วยการทานเฉพาะผักผลไม้ไม่หวานค่ะ ทานได้ตลอดวันจ๊ะ และดื่มน้ำเปล่าคอยไล่พิษ ปริมาณคือ 30 x นน.ตัวค่ะ เวลาล้างพิษก็ดื่มอีก 1-2 แก้วช่วงบ่าย 3-5 โมงด้วยค่ะ ช่วยขับออกทางกระเพาะปัสสาวะค่ะ และดื่มก่อนนอนอีก 1 แก้ว

ระหว่างวันถ้าไม่มีอาการขับพิษใด ๆ เช่น ปวดเมื่อยเนื้อตัว ก็ให้ิจิบ ๆ น้ำสะอาดไม่เย็นหรือน้ำอุ่นไปเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ถ้ามีอาการ แนะนำให้ดื่มเป็นแก้วหรือขวดเลยค่ะ หรือถ้ามีอาการร้อนเกิน ร้อนใน ลมหายใจร้อน เมื่อยตา ร้อนตา ก็ให้ผสมน้ำย่านาง 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 แก้วดื่มไปเลย และก็เอาสำลีชุบน้ำสะอาดแล้วหยดน้ำย่านางลงพอให้ได้กลิ่น แล้วประคบที่ตาสัก 5 นาที แล้วเอามาเช็ดหน้าเบา ๆ ให้ทั่วค่ะ เน้นบริเวณที่ร้อนและเป็นสิวอักเสบ