Sunday, July 29, 2012

แชร์ผลการใช้น้ำสกัดผสม probiotics และเกร็ดความรู้เรื่อง probiotics เพิ่มเติม



หลังจากที่บีม พี่แม็ค และแม่ได้ทานน้ำสกัดเห็ดภู่มาลาซึ่งมีโพรไบโอติคส์ ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านงานวิจัยและจำหน่ายมาได้สักหลายปีแล้วค่ะ ซึ่งบีมได้ซื้อทานครั้งแรกเมื่อ 2-3 ปีก่อนได้ รู้จักเขาผ่านทางนิตยสารเช่นกันค่ะ ตอนนั้นก็สั่งมาทานกับแม่ แต่ตอนนั้นมีแค่ไม่กี่สูตรค่ะ ไม่มีสูตรน้ำเห็ดภู่มาลา ซึ่งก่อนที่บีมจะสั่งซื้อบีมก็ถามมาเผื่อทุกคนด้วยว่า สูตรไหนช่วยเรื่องสิวบ้างมั้ย เขาก็บอกว่าสูตรนี้แหละค่ะ คนท้องก็ทานได้ คนนอนไม่หลับเช่นแม่ก็ทานได้ค่ะ สูตรนี้แพงมากเลย ขายปลีกขวดละ 1,800 บาท ราคาขายส่งก็สูงไม่แพ้กันค่ะ บีมสั่งมาโหลนึงนะ คือ เน้นมาทานกันในครอบครัว และให้น้องยุ้ย (โครงการรักษารักษาสิวฟรีของเรา) ไป 1 ขวดค่ะ

จริง ๆ แล้วบีมสั่งอีกสูตรมา 1 โหลด้วย อันนั้นจะถูกหน่อยค่ะ 600 บาท ที่สั่งมาเพราะตอนแรกบีมคิดว่าจะทานสูตรนี้แหละ เพราะเคยทานเมื่อท้องที่แล้วค่ะ แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีผลร้ายอะไรกับการตั้งครรภ์

คือ บริษัทนี้และผลิตภัณฑ์นี้เขาผ่านงานวิจัยจากทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาแล้วค่ะ และเขาขายมาได้หลายปี ออกบู้ทงานสุขภาพที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ เช่นกันค่ะ

ที่สำคัญ คือ กินแล้วมันเห็นผลเร็วและดีจริงค่ะ เพราะเจ้าจุลินทรีย์ที่เขาใส่ในน้ำสมุนไพรสกัดนี้เป็นสายพันธุ์ที่คัดมาแล้วและมีปริมาณเข้มข้น น้ำก็ดื่มง่ายค่ะ รสชาติดีทีเดียว

แม่บีมเขาติดใจผลการทานตั้งแต่ครั้งแรกเลย เพราะเขาบอกว่าหายปวดเข่าและทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ตัวบีมเองไม่ได้สั่งมาให้เขาอีกจนกระทั่งตอนนี้ล่ะค่ะ

เหตุผลที่บีมสั่งผลิตภัณฑ์นี้มาเพราะ

  1. น้ำเอ็นไซม์สูตร ดร.รสสุคนธ์ที่เคยจำหน่ายอยู่หมดแล้ว และบีมไม่แน่ใจว่าสูตรนั้นคนท้องจะทานได้ไหม เพราะสูตรของบริษัทนี้บีมทานได้แน่นอนค่ะ เคยทานมาแล้ว
  2. ที่มั่นใจจะทานตอนท้องก็เพราะ บีมรู้ว่าตอนท้องมันจะค่อนข้างมีปัญหาเรื่องขับถ่าย แต่ท้องนี้บีมตั้งใจว่าจะลองไม่ทาน CLEAN ดูค่ะ คือ อยากให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด ก็เลยตัดสินใจสั่งตัวนี้มาทานควบคู่ไปกับการทานผักผลไม้เลี้ยงเขาเยอะ ๆ ค่ะ
  3. ที่ไม่ทานโยเกิร์ตทั่วไปเนื่องจากอ่านหนังสือ นม...มัจจุราชเงียบ แล้วบีมเข้าใจว่าโยเกิร์ตก็มาจากนมวัวนั่นแหละ บีมทานก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวทุกครั้ง เลยขอทานอะไรที่สบายใจดีกว่า
  4. บีมได้อ่านหนังสือเรื่อง The Probiotics Revolution เขียนโดย Gary B.Huffnagle และ Sarah Wernick และแปลโดยคุณบุญส่ง รักวิริยะ ยังอ่านไม่จบดีค่ะ ทำให้ได้ทราบประโยชน์อันมากมายของเจ้าจุลินทรีย์ตัวน้อยเหล่านี้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญเขามีงานวิจัยรองรับว่าดีต่อคนท้องด้วยค่ะ คือ ท้องนี้เป็นท้องที่บีมมีอาการกลับตาลปัตรหน่อยนึงจากชีวิตปกติ ปกติจะชอบทานข้าวกล้อง ท้องนี้จะทานข้าวนี้แล้วฝืดคอ กลืนไม่ค่อยลง แต่ก็ทานนะคะ รายการอาหารกินได้จะเป็นพวก ผัดซีอิ้ว ผัดผักบุ้ง ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวซอย อะไรแบบนี้น่ะค่ะ จะทานได้เยอะเลย และบีมก็ไม่อยากให้สิวขึ้นตอนท้องเยอะ ๆ เสียด้วยค่ะ เลยต้องหาวิธีดูแลตัวเองไปด้วยค่ะ เพราะบีมก็ไม่อยากให้ลูกอดเพราะหิวข้าว คือ กินอะไรได้กินไปก่อนค่ะ แต่บีมกินเป็นอาหารนะคะ ไม่ได้กินพวกขนมนมเนยอะไรที่ไม่มีประโยชน์และทำให้อ้วนค่ะ ไว้ค่อยเขียนเรื่องการดูแลตัวเองตอนตั้งครรภ์อีกทีนะคะ
  5. เอามาให้น้องยุ้ยด้วยค่ะ เพราะดูแล้วว่าน้องน่าจะมีปัญหา Leaky Gut Syndrome และมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ไม่พอค่ะ
  6. เอามาให้น้องแคนดี้ทานเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ เพิ่มภูมิต้านทานโรคค่ะ
รายงานผลการทานของคน 3 คนในครอบครัวก่อนค่ะ

บีม - ทานได้เพียงวันละ 5 cc ตอนเช้าหลังตื่นนอน และดื่มน้ำตามตามปกติค่ะ วันแรกตื่นมาทานตี 3 ค่ะ เพราะลุกมาเข้าห้องน้ำตอนนั้นพอดี ไม่คิดว่า 5 cc จะทำอะไรได้ แต่่วันแรกถ่ายแบบมีกลิ่นเลย 3 ครั้งค่ะ แต่ไม่ปวดบิด เมื่อวาน 2 ครั้งแบบมีกลิ่น ไม่ปวดบิด ของเสียสีดำเช่นกันค่ะ

พี่แม็ค - บีมให้ทาน 30 cc เพราะเขาตัวใหญ่ (ลำไส้ต้องใหญ่และยาวตามไปด้วยค่ะ) และเขาต้องการเจ้าจุลินทรีย์นี้มากกว่าบีม บีมรู้ว่าพี่เขามีปัญหาที่ลำไส้แน่ค่ะด้วยสัญญาณหลายอย่าง และมีโรคผิวหนังเรื้อรังอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สิวค่ะ บีมรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันค่ะ ก็บอกให้เขาทานต่อเนื่องจนกว่าจะหายค่ะ เขาเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อยอยู่แล้วเป็นปกติของเขา (แต่ไม่ใช่อาการปกตินะคะ) ผลคือ เขาถ่ายมากขึ้นค่ะทั้งที่ไม่ได้ทานเผ็ดอะไรเลย

แม่ - ปกติแม่เป็นคนท้องผูกมาก ๆ เลยค่ะ ทานผักผลไม้น้อย ถ่ายแต่ละครั้งก็มานิดเดียว ๆ บีมให้แม่ทาน 30 cc เท่าพี่แม็คค่ะ คือ เขา 2 คนนี้บีมให้ทาน 2 เวลาเลย แต่เดี๋ยวขอเช็คข้อมูลอีกทีว่าได้ไหม เช้าหลังทานวันแรกยังไม่รู้สึกอะไรค่ะ แต่วันนี้คือเช้าวันที่ 2 หลังทาน แม่บอกเองว่า ของเสียมีกลิ่นเหม็นมากเลยค่ะ เขาบอกปกติไม่เป็นแบบนี้ จากประสบการณ์ของบีม นี่ล่ะค่ะ ใช่เลย จุลินทรีย์น้อยเขาทำงานแล้ว เร็วดีเหมือนกัน

จะสังเกตว่า ถ้าลำไส้ของบีม วันแรกทานและทานปริมาณน้อยก็เห็นผลเลยนะคะ แต่ถ้าอย่างพี่แม็คกับแม่  คือจะดูแลสุขภาพน้อยกว่าบีม พี่แม็คไม่เคยสวนลำไส้ แม่ท้องผูก แต่เคยสวนบ้าง ก็ต้องใช้ปริมาณเยอะกว่าค่ะ จึงจะเห็นผลดี

วันนี้เอาเท่านี้ก่อนนะคะ ยังไงลองไปศึกษาเรื่อง Probiotics กันเพิ่มเติมดู แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของบีมและบางส่วนของเพื่อน ๆ MB เจ้าตัวนี้ช่วยเรื่องสิวและผิวได้จริง ๆ ค่ะ

วิธีการรับหรือทาน probiotics เพื่อผลลัพธ์สูงสุด
  1. ล้างลำไส้ให้สะอาดก่อน ไล่ของเสียออกไปเยอะ ๆ ก่อน จะเห็นผลเร็วกว่า
  2. ช่วงทาน probiotics ห้ามสวนลำไส้หรือทานสมุนไพรช่วยระบาย เพราะถ้าล้างหรือสวนลำไส้ จุลินทรีย์ตัวที่ดีกับไม่ดีจะออกไปหมดพร้อมของเสียเลยทีเดียว ทานเข้าไปก็สูญเปล่า
  3. เมื่อเริ่มทานแล้วจะต้องปรับอาหารให้มีผักผลไม้และใยอาหารมากขึ้นเพราะใยอาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้นี้ คือ อาหารหล่อเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ให้เติบโต และไม่ทานอาหารประเภท เนื้อ นม ไข่ หรืออาหารที่ทานไปแล้วจะกลายสภาวะเป็นกรด (ผักผลไม้ส่วนใหญ่จะเป็นด่าง) เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ลำไส้แปรสภาพเป็นที่อยู่ของพวกที่ไม่ดีมากกว่า 
สิ่งที่เราควรทราบค่ะ ร่างกายเรามีทั้งจุลชีพทั้งที่ดีและไม่ดีอยู่ด้วยกัน ถ้าหากเราสามารถปรับสมดุลร่างกายไม่ให้ร้อนเกิน ไม่ให้เป็นกรดมากกว่า 20% และทานอาหารที่ดี ที่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์จริง ๆ จุลินทรีย์ที่เราทานเข้าไปจะเติบโตและคอยเป็นทหารช่วยรักษา ปกป้อง คุ้มครองให้ลำไส้ของเราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและกำจัดของเสียออกได้หมดจดทุก ๆ วัน 

หากสภาพผิวและสุขภาพปรับสมดุลดีแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องทานหรือรับเขาเข้าไปตลอดไป เพราะเขาเติบโตได้ เราแค่เพียงต้องดูแลเขาให้ดีเท่านั้น

ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเริ่มเสียสมดุลอีก ตัวไม่ดีก็กลับมามีอำนาจเหนือกว่าอีก เมื่อนั้นสุขภาพและผิวก็แย่อีกค่ะ

สมดุลคือหัวใจค่ะ

ป.ล. หากว่าใครจะลองทาน probiotics ราคาสบายกระเป๋า ลองนมหมักบัวหิมะก่อนได้นะคะ พี่กานต์มีจ๊ะ http://www.facebook.com/KefirByRunRak

ไม่แนะนำให้หมักกับนมวัวค่ะ คนเป็นสิวให้เปลี่ยนเป็นหมักกับ
  1. นมแพะ 
  2. นมธัญพืช นมข้าว เป็นต้น
  3. น้ำมะพร้าว (บางคนก็มีข้อมูลแย้งว่าไม่ดีค่ะ ยังไงลองไปค้นหาข้อมูลดูเพิ่มนะคะ พอดีบีมเคยหาข้อมูลมาแล้วลองทำ มันก็โอเคค่ะ)
3 ตัวนี้แชร์จากประสบการณ์นะคะ คือ บีมไม่กินนมวัวอยู่แล้ว เคยกินแบบที่หมักนมวัวแล้วสิวขึ้นค่ะ

สำหรับคนที่ทานแล้วไม่เห็นผลดี คือ 
  1. ไม่เคยล้างลำไส้มาก่อน
  2. ช่วงทานไม่ปรับอาหาร ทำให้จุลินทรีย์ขาดอาหาร ก็อยู่ไม่ได้
  3. ไม่ถูกกับสายพันธุ์ที่รับเข้าไป
ระยะเวลาเห็นผล ควรให้เวลาตัวเองในการล้างลำไส้สัก 2 สัปดาห์ - 1 เดือน แล้วหลังจากนั้นทานจุลินทรีย์โดยห้ามล้างลำไส้อีกประมาณ 1-2 เดือนแล้วลองหยุดทานผลิตภัณฑ์ดูว่าถ้าไม่ทานแล้วเขาปรับตัวให้ดีขึ้นได้หรือยัง สิวยังขึ้นง่ายอยู่ไหม ภูมิแพ้หายไปไหม ผิวยังแพ้ง่ายหรือไม่ 

แต่ระหว่างนั้นต้องปรับสมดุลร่างกาย อย่าให้เครียด อย่าให้ร้อน อย่าให้เป็นกรดมากไป และสำคัญคือ อาหาร เน้นผักผลไม้มาก ๆ ข้าวกล้อง ธัญพืช "ข้าว ถั่ว งา ผัก ผลไม้ น้ำมันสกัดเย็น" เท่านี้ก็เพียงพอค่ะ ใครกลัวผอมก็ทานข้าว ถั่ว งา เยอะหน่อย เท่านั้นเอง ให้เพียงพอกับพลังงานของร่างกายแต่ละวันที่ใช้ วัดจากความรู้สึกคือไม่โหยหิวค่ะ พลังเต็ม

แบ่งปันกันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้และเรื่อง probiotics เท่านี้ก่อนนะคะ

ขอให้ผิวสุขภาพดีเป็นของทุกคนค่ะ
บีม

Monday, July 23, 2012

สูตรล้างตับและท่อน้ำีดีแบบง่ายสุด

มีลูกค้าที่ต้องการล้างตับแต่ดูเหมือนว่าลิงค์ที่บีมให้ไปจะดูยากสำหรับเขาเพราะหาของยากค่ะ บีมเลยขอเรียบเรียงจากประสบการณ์และความรู้ ออกมาดังนี้นะคะ

อ้อ...ระหว่างล้างตับและท่อน้ำดี ให้ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ ค่ะ พวกชาสมุนไพรล้างพิษอุ่นๆ  ดื่มได้ทั้งนั้นเลยนะคะ หรือแค่น้ำอุ่นธรรมดาค่ะ พี่ญาตาบอกว่าจะล้างพิษข้างในต้องทำตัว "ชุ่มน้ำ" ค่ะ ดื่มเข้าไปค่า


สงสัยสูตรที่ให้จะซับซ้อนไปสำหรับผู้เริ่มต้นนะคะ บีมแนะนำสูตรนี้ก็แล้วกันจ๊ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม
  1. แอปเปิ้ลแดง ซื้อมาเยอะ ๆ เลยค่ะ เพราะต้องใช้ตลอดวัน
  2. น้ำมันมะกอก ถ้าหาได้ซื้อแบบหีบเย็นค่ะ ที่โลตัสเหมือนจะมีนะคะ ถ้าไม่มีเอาแบบ Extra Vergin ก็ได้ค่ะ 
  3. มะนาว สัก 10 ลูกค่ะ
  4. ดีเกลือ
ง่าย ๆ เลย คือ วันที่จะล้างพิษตับนั้นต้องไม่ทานอะไรที่ต้องให้ระบบทางเดินอาหารย่อยเลยค่ะ ดีที่สุดก็คือการดื่มน้ำแอปเปิ้ลคั้นสดตลอดวันค่ะ สำหรับคนไม่เคยทำ มันจะหิว ๆ โหย ๆ นะคะ ถ้าร่างกายเครียด ๆ ให้เอาสับปะรดมาปั่นทานได้นะคะ แต่ปั่นให้ละเอียดค่ะ เพราะถ้ามีกากใย ตับจะต้องมาทำงานอีกค่ะ และวันที่ล้างพิษ ให้กะว่านอนตลอดวันได้เลยค่ะ ทำอะไรเบา ๆ สบาย ๆ ค่ะ เพราะเวลาพิษเริ่มขับออก เราจะไม่ค่อยสบายตัวค่ะ

พอถึง 6 โมงเย็น ให้งดเครื่องดื่มทุกอย่างค่ะ ให้ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว มันจะขมมากเลยค่ะ กลั้นใจทานหน่อยนะคะ

ทานแล้วจะอยากเข้าห้องน้ำบ่อยค่

แก้วที่สองตอน 2 ทุ่มค่ะ ผสมเหมือนเดิม

ประมาณ 4 ทุ่มให้ผสมน้ำมันมะกอก 1/3 ของแก้วกับน้ำมะนาวอีกครึ่งแก้วค่ะ คนให้เข้ากันแล้วดื่มรวดเดียวค่ะ ถ้าไม่เคยจะรู้สึกอยากอาเจียนค่ะ ถ้ารู้สึกอยากอาเจียนให้พักก่อนได้ค่ะ แล้วค่อยดื่มต่อจนหมด แต่อย่าให้เว้นระยะเกิน 3 นาทีค่ะ

เสร็จแล้วให้ไปพักผ่อนนอนหลับเลยค่ะ ถ้านอนไม่หลับไม่ต้องเครียดนะคะ หายใจเข้าออกลึก ๆ ถ้าอยากอาเจียนให้นอนหมอนสูงค่ะ อาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการล้างพิษที่ตับกับถุงน้ำดีทั้งสิ้นค่ะ 

ถึงตอนเช้าอาจจะรู้สึกอยากอาเจียนหรืออยากถ่ายค่ะ ก็ให้ดื่มน้ำแล้วถ่ายไปเลยค่ะ 

ถ้าสูตรพี่ญาตาคือ ตอนเช้าจะใช้การสวนลำไส้ด้วยน้ำอุ่นช่วยให้ถ่ายออกหมดมากขึ้นด้วยค่ะ แต่ถ้าคุณเปิ้ลยังไม่สบายใจที่จะทำก็ไม่เป็นไรค่ะ อาศัยการดื่มน้ำเอาได้ค่ะ

ถ้าตื่นมายังเพลียให้นอนต่อนะคะ อย่าพึ่งลุกไปทำอะไรค่ะ เป็นอาการปกติค่ะ คือ ร่างกายเขาเป็นอย่างไรให้ตอบสนองเขาตามนั้นค่ะ

พอถ่ายออกจะเริ่มรู้สึกดีึึขึ้นค่ะ

จะเริ่มมีของเสียออกมาค่ะ ถ้าทำได้ผลดี จะมีนิ่วก้อนเขียว ๆ ใหญ่ ๆ ออกมาด้วยค่ะ 

หลังจากนั้น 2-3 วันยังต้องทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ไปก่อนค่ะ แล้วค่อย ๆ เพิ่มอาหารอื่นๆ เข้าไปค่ะ แต่ก็ขอให้คงความดีต่อสุขภาพเอาไว้ค่ะ

บีมฝากข้อความถึงคนไม่เป็นสิวและข้อคิดสำหรับคนเป็นสิวที่มีข้อแม้กับตัวเองมาก ๆ


ข้อเสียของการเป็นสิวอย่างหนึ่งที่บีมสังเกตคือ มันไม่ป่วยถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตเหมือนโรคเรื้อรังอื่น ๆ ทั้งที่มีสาเหตุอย่างเดียวกัน แถมสิวเป็นอาการเบื้องต้นของโรคเหล่านั้นด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้คนยังไม่ตัดสินใจที่จะทำอะไรเด็ดขาดกับตัวเองเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ลองคิดดูนะคะว่า ถ้าเราเกิดถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแทนการเป็นสิว เราจะยังมีข้ออ้างในการดูแลตัวเองอยู่ไหม...

หลายคนโดนวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรงไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งแล้ัวมักจะมึนงงไปช่วงแรก บางคนตัดสินใจออกจากงานทันทีเพื่อมารักษาตัวเอง บางคนตัดสินใจไปอยู่ชนบท เปลี่ยนชีวิตเลยก็มีี และคนกลุ่มนี้มักมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมมาก หลายคนโรคที่เป็นอยู่หายไปเลย และได้มีชีวิตที่มีคุณค่ากับคนอื่น ๆ ต่ออีกมากมาย

ในขณะที่คนเป็นสิว มีอีกปัจจัยที่สำคัญคือ คนรอบตัวมองว่า มันไม่ใช่โรคเรื้อรัง ไม่ใช่อะไรที่มันต้องไปใส่ใจมาก

บีมล่ะอยากทำให้มันเป็นวาระแห่งชาติจริง ๆ ค่ะ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับคนไม่เป็นสิว เขาจะได้ไม่มาเป็นอุปสรรคอีกอันในการปรับชีวิตของคนที่พยายามจะรักษาสิวด้วยตัวเองอีกต่อไป

วันนี้ขออารมณ์ขึ้นวันนึงนะคะ บางทีมันก็รู้สึกแบบนี้จริง ๆ หลายคนก็มีข้อแม้กับชีวิตเยอะจังค่ะ...ทั้งที่เราก็มีกันชีวิตเดียว

- บีม -

บีมขอยกตัวอย่างที่ทำงานนะคะ บีมอาจจะไม่ใช่หัวหน้าหรือเจ้าของธุรกิจที่ดีที่สุด แต่บีมห่วงสุขภาพของคนที่ทำงานด้วยมากที่สุด มีครั้งหนึ่งที่น้องพิมเขาล้างพิษตับและวันถัดมาคือวันศุกร์ เขาเพลียมาก ๆ ลุกทำงานไม่ไหว บีมก็ไม่มีปัญหานะคะ คือเข้าใจเขา ก็ให้เขาพัก บีมไม่ได้บังคับให้เขาต้องลุกมาทำงาน เพราะตัวเองเคยล้างพิษตับมาก่อน รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่หลังจากนี้เขาก็จะรู้แล้วว่า ถ้าจะทำก็อาจไปทำวันหยุดแทนวันธรรมดา จะได้ไม่กระทบงาน แบบนี้เป็นต้นค่ะ

คือ มันอยู่ที่วิสัยทัศน์และประสบการณ์ของเจ้าของบริษัท หัวหน้าเรา แต่ไอ้ที่เลือกไ่ม่ได้คือ โครงสร้างของบริษัท ความใหญ่โต และอะไรอีกมากมาย คุณก็มีทางเลือกอยู่ดี คือ อยู่ต่อไป แต่ก็คาดหวังเรื่องสุขภาพให้น้อยลง ขอเจรจาดูว่าจะมีทางไหนที่ยืดหยุ่นได้ไหม โดยที่คุณทำงานให้เขาได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม หรือ เปลี่ยนตำแหน่ง หรือเปลี่ยนที่ทำงาน

เพราะการทำงานคือการปฏิบัติธรรม

งานที่ดีต้องทำให้ชีวิตของคุณสมดุล

ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใ้ช้ยามแก่นั้น คุณมั่นใจหรือว่า คุณจะยังมีลมหายใจไปใช้เงินถึงวันนั้น

ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน

บีมเคยประสบพบเจอประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง

บีมพยายามอย่างมากที่จะหาเงินให้ได้มากจากการทำขายตรงยี่ห้อหนึ่ง แต่คนที่บีมรักมากคือคุณตาอยากให้บีมกลับบ้านมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ เพราะท่านรู้ตัวว่าเหมือนจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว แต่บีมไม่ค่อยกลับ เพราะมีข้ออ้างที่ "คิดว่าดี" ว่าอยากหาเงินให้มากที่สุด และบอกกับตาว่าให้รอ และบอกกับตัวเอง เข้าข้างตัวเองว่าตาจะรอจนวันที่บีมมีเงินเยอะ ๆ

ทั้งที่สิ่งที่ตาต้องการจากบีมคือ การได้กลับไปอยู่กับตา การได้เห็นหน้าหลานให้บ่อยที่สุดก่อนที่ตาจะจากไป

แต่ตาเป็นคนไม่บอก ไม่พูด...

ตอนที่ตาเีสียโดยที่บีมไม่ได้ร่ำลาท่าน...

จากนั้นบีมได้บทเรียนชีวิตยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ชีวิตไม่แน่นอน ไม่เราก็คนรอบตัวเราจะจากไปเมื่อไหร่ไม่รู้ และก็บังคับไม่ได้

สุดท้ายบีมเหลือแต่คุณยาย ที่บีมตัดสินใจกลับมาเพื่อชดใช้และชดเชยความรู้สึกผิดที่เคยมีต่อคุณตา ซึ่งบีมต้องต่อสู้กับตัวเองและหลายอย่างมาก แต่อยากชดเชยสิ่งที่เราเคยเสียไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ จึงตัดสินใจอยู่ต่อมาเรื่อยๆ และตอนนี้คุณยายเสีย บีมเหลือคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีที่สุด

คนเราไม่เจออะไรแบบนี้ ก็คงไม่รู้สึกค่ะ แต่อย่าให้มันเกิดขึ้นกับตัวคุณเลย บางทีการลองพยายามเรียนรู้จากคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า ไม่ต้องเปลืองเวลาและเสียใจกับเรื่องที่ไม่ควรจะเสียใจ...

ฝากเท่านี้เพื่อให้คิดสำหรับเช้าวันนี้นะคะ

- บีม -

ถ้าคุณจะรักษาสิวตามแนวธรรมชาติบำบัด หยุดความงอแงในตัวคุณให้ได้นะคะ คุณมีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ชีวิตที่งอแง ๆ นั้นเป็นผลมาจากการไม่ค่อยได้ฝึกใจตัวเอง การฝึกใจนั้นเป็นศิลปะแห่งความสุขในชีวิตขั้นสูงที่มากกว่า กิน กาม เกียรติ และไม่ใช่การไม่ enjoy อะไรกับชีวิตเลย คนที่ฝึกใจตัวเองมาดี จะ enjoy กับชีวิตอย่างลึกล้ำมากกว่าคนที่สนุกไปวัน ๆ ที่ชีวิตดูเหมือนสนุก ๆ เสียอีกค่ะ

บีมเองไม่ได้บอกให้ทุกคนมานุ่งขาวห่มขาว เคร่งครัด หน้าเครียด ปฏิบัติธรรม ไม่พูดไม่จากับใคร แบบนั้น บีมเห็นหลายคนเขาเรียกติดดี คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ซึ่งบีมเคยเป็นมาแล้วนะคะ เลยบอกได้ว่าคนที่เขาเข้าใจธรรมะจริง ๆ มันไม่จำเป็นต้องอะไรขนาดนั้น คนเข้าใจธรรมะจริง ๆ เข้าใจจิตตัวเองจริง ๆ เขาจะรู้จักตัวเองได้ดี รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ตอนไหน ยังไง และเขาจะมองเห็นความสุขในชีวิตได้ดีกว่าใคร

ขอเพียงเรารู้จักการใช้ชีวิต อย่าให้กิเลสมันมาปั่นชีวิตเราง่าย ๆ รู้ตัวให้เร็วจะมีประโยชน์มาก ๆ

บีมเองก็ยังเป็นคนธรรมดา ๆ แต่ด้วยชีวิตมันสอนอะไรหลาย ๆ อย่าง เราเข้าใจมันมากขึ้น

เวลาจะกินอะไรก็รู้ประโยชน์ รู้โทษของแต่ละอย่าง เลยไม่ได้รู้สึกฝืนใจ หรือขืนใจตัวเอง ไม่ได้รู้สึกชีวิตมันขาดอะไรไป เพราะรู้แต่ว่าฉันกินแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้กับตัวเอง

วันไหนอยากกินไอติม บีมก็กินนะคะ กินแล้วมันร้อนข้างใน ครั้งถัดไปก็ไม่อยากกินละ มันก็เป็นแบบนี้
วันไหนอยากแต่งตัวแบบไหน ก็ทำไป
เรา enjoy อะไรที่มันไม่เป็นโทษกับเราหรือกับใคร เราก็ทำ

เรายังใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม แถมจะมีความสุขกว่าเดิมด้วยค่ะ ถ้าเราฝึกใจให้ดี

ใจคนเรามันไหลลงต่ำตลอดเหมือนน้ำ ฝึกแรก ๆ จะยากเหมือนจับลิง
นาน ๆ ไป ฝึกรู้ตัวบ่อยๆ มันก็ดีเอง โดยที่เราก็ไม่ได้รู้สึกขาดอะไรในชีวิตไป
แต่กลับมองว่าคนอื่น ๆ ที่เขารับสิ่งไม่ดีให้ตัวเองนั้นขาดอะไรมากกว่า...

บีมมองแบบนั้นจริง ๆ ไม่ได้อิจฉาเลยเวลาเห็นคนดื่มน้ำเย็น กินน้ำหวาน กินของรสจัด ฯลฯ

และก็ไม่ต้องไปตัดสินเขา ไม่ต้องไปว่าเขา เราชี้นำสิ่งมีประโยชน์ไ้ด้ แต่ถ้าดูแล้วเขาไม่รับฟัง บีมก็หยุด ปล่อยเขา แต่ละคนก็จะได้รับผลกรรมของตัวเองไปเอง

เราก็ทำได้แค่ชี้แนะเท่าั้นั้นล่ะค่ะ ปล่อยวางเสีย จบ...

- บีม -

แค่เปลี่ยนตัวล้างหน้า ผิวก็เปลี่ยนแล้ว

เช้านี้ตั้งใจมาอัพเดทเรื่องนี้โดยเฉพาะค่ะ คือ เรื่องของตัวล้างหน้า

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี้บีมมีปัญหาสิวขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ ซึ่งท้องที่แล้วก็แบบนี้ แต่ท้องนี้ดูท่าทางจะมากกว่าเดิม แต่บีมก็ดูแลไปตามปกติค่ะ

เรื่องเกี่ยวกับสิวตอนท้อง บีมพอได้คำตอบที่แน่นอนสำหรับตัวเองแล้วค่ะ และิคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบนี้สำหรับคนอื่น ๆ เหมือนกัน แต่ด้วยเวลาจำกัด บีมขออัพเฉพาะเรื่องตัวล้างหน้าก่อนก็พอนะคะ

ประโยชน์ของการกลับมาเป็นสิวอีกครั้งคือ การได้กลับมาใช้ชุดสิวทั้งหมดทุกตัว ยกเว้นตัวที่มันหมด (ของหมดบีมก็อดใช้เหมือนกันค่ะ หุหุ บีมก็เหมือนเพื่อนๆ นั่นแหละ ต้องรอของเหมือนกัน) เพราะบีมไ่ม่ใช้ของยี่ห้ออื่นน่ะค่ะ ยกเว้นบางตัวเช่นมอยเจอร์ไรเซอร์ จริง ๆ ช่วงนี้ผิวมันผลัด บีมต้องใช้ Natural Intensive Treatment Serum แต่ของมันยังไม่มาเหมือนกัน และก็ใช้ Triple Lift ยังไม่ได้ด้วย เพราะบีมสังเกตแล้วว่ามันทำให้ผิวที่กำลังผลัดหรือเป็นสิวอยู่ สิวขึ้นได้ค่ะ แต่ถ้าใช้ตอนผิวไม่มีปัญหาก็ไม่เป็นไรค่ะ ส่วน Fresh Aloe ใช้ได้นะคะ แต่บีมแค่ไม่ชอบที่มันเหนียว ๆ ที่ไม่เหมาะกับการทาตอนเช้าเลยค่ะ เลยแอบเอาของที่พี่แม็คซื้อมาืคือยูเซอรีน Oitment มาใช้หน่อยนึง แต่ไม่ทุกวันค่ะ บีมทาเฉพาะวันที่ผิวผลัดจากการใช้ Whitening Program เท่านั้นล่ะคะ คือ ถ้ามีของครบ Natural Intensive มาแล้ว บีมคงใช้ของบีมนั่นแหละ ส่วนตัวยูเซอรีนนี้พอถูไถค่ะ แต่บีมลองเอามาทาตรงที่แห้ง ๆ ข้างจมูกที่บีมชอบเป็นบ่อย ๆ จากการผลัดผิว Fresh Aloe โปะหนา ๆ คืนเดียวเท่านั้นล่ะค่ะ เห็นผลชัดเจน หายแห้งเลย นี่ไม่ได้อวยของตัวเองนะคะ คือ ถ้าใช้แล้วชอบบีมก็จะบอก อะไรที่ไม่ชอบก็จะบอกค่ะ นี่คือแชร์ประสบการณ์กันไป แต่ผิวใครจะไปใช้ยังไง ได้ผลแบบไหนก็ต้องไปดูอีกทีค่ะว่าเขาใช้ตัวไหนบ้าง สภาพผิวตอนนั้นเป็นอย่างไรน่ะค่ะ คือ ผิวบีมน่ะเร็วมากกับการรับสารสกัดต่าง ๆ ค่ะ ค่อนข้าง sensitive เลยล่ะ เลยไม่ชอบไปรบกวนเขามากค่ะ เขาอยากอยู่เฉย ๆ

กลับมาเรืื่องตัวล้างหน้านะคะ

คือ ที่ผ่านมาเกือบจะ 3 เดือนนี้ บีมแอบเสียดายตัวล้างหน้าตัวเก่าคือ มี pH Balance เหลืออยู่ พอใช้จนหมดแล้วก็แกะ Apple Foam มาใ้ช้ค่ะ มันก็โอเคนะคะ แต่พอได้ใช้ตัวรักษาสิวเช่น Acne Control Cream, Whitening Program คือ ประเภทผลัดเซลล์ ผิวมันก็ผลัด ๆ ลอก ๆ แห้ง ๆ ค่ะ คือ เีดี๋ยวนี้บีมไม่ค่อยมีปัญหาผิวมันค่ะ ถ้ามันก็มันแบบตามธรรมชาติ แต่ถ้าอยู่ที่ร้อน ๆ อย่างตอนไปกรุงเทพฯมันก็มันเหมือนกันค่ะ แต่ยืนยันว่าความมันไม่สามารถทำอะไรผิวได้ถ้าผิวแข็งแรง ตอนไปเสถียร 3 วันล้างหน้าอย่างเดียว อากาศร้อนมาก หน้ามันมากขอบอก แต่สิวไม่ขึ้นสักเม็ดค่ะ 

ส่วนใหญ่จะมีปัญหากะผิวเป็นขุย ๆ มากกว่าเวลาใช้ตัวรักษาิสิวหรือพวกผลัดเซลล์

พอผิวแห้ง ๆ มันจะแต่งหน้าก็ไม่ค่อยจะติด เขาเรียก Ball-up หรือเปล่า หน้าดูไม่สดใสเท่าไหร่ค่ะ รูขุมขนจะดูกว้างกว่าปกติค่ะ

รู้มั้ยคะว่าปัญหาผิวแห้งหมดไปแบบพริบตาเดียวแค่บีมลองเปลี่ยนตัวล้างหน้าค่ะ

คือ เมื่อวานมันพลาดไปนิดนึงตรงที่ผิวมันผลัดอยู่แล้วดันไปทา Triple Lift Serum แล้วทากันแดด PRETTYS ซึ่ง 2 ตัวนี้บีมเข้าใจแล้วว่าถ้าบีมใช้ตอนผิวไม่มีปัญหาสิวหรือตอนผิวไม่ผลัด มันไม่เป็นอะไรเลย แต่ถ้าเป็นสิว ห้ามเลยแหละ สิวเม็ดเล็ก ๆ แบบอุดตันมานะคะ คือ อย่าดื้อไปใช้ บีมพิสูจน์กะตัวเองแล้วเนี่ยล่ะค่ะ ถ้าไม่เป็นสิวอีกรอบจะไม่รู้เลย เพราะที่ผ่านมาใช้ได้ทุกตัวเนื่องจากสิวไม่มีแล้วค่ะ

เมื่อวานเย็น บีมก็เลยคิดว่า ไม่ไหวละลองเปลี่ยนจากโฟมเป็นเจลที่รักษาสิวดีกว่า เพราะจำได้ว่าตอนที่ของมาใหม่ ๆ ปีนู้นเลย บีมทดลองแกะเอามาใช้ดูก่อนขายจริง แล้วมันล้างได้สะอาดมาก ๆ ค่ะ คือตามที่บีมรีวิวให้เลย จำได้ว่าพวกสิวอุดตันหัวมันออกมาค่อนข้างเยอะเลยสำหรับการล้างครั้งแรกน่ะค่ะ ก็เลยไปแกะ Acne-Aid Liquid Cleanser มาค่ะ ขนาดใหญ่เลย (stock ตัวนี้เหลืออยู่ที่บ้านนิดหน่อย) หลังจากล้างหน้าเสร็จ ผิวก็ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แบบชุ่มชื้นนุ่มนวลขึ้นโดยที่บีมยังไม่ทันทาอะไรต่อนะคะ คือ แค่ล้างหน้า เพราะพึ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังจะออกไปข้างนอกน่ะค่ะ แล้วไม่ทันได้ทำอะไรต้องเอาแคนดี้ออกไปขึ้นรถละ


กลับมาบ้านก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับหน้าต่อเลยจนเอาแคนดี้เข้านอน

ตื่นเช้ามา ผิวดีึ้ขึ้น step นึงเลยค่ะ แค่เปลี่ยนตัวล้างหน้าเท่านั้นแหละ คือ คงความนุ่มชุ่มชื้นและผิวไม่ค่อยมันเท่าไหร่

และจะพ่วงไปกับปัญหาผิวที่หลายคนประสบกัน คือ บีมได้ัรับอีเมลที่มีเพื่อนๆ ขอรับคำปรึกษาเข้ามา หลายคนหน้าแห้งมาก เพราะใช้สบู่อะไรก็ตามที่เขาแจงว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาสิว บีมจะไม่วิพากวิจารณ์อะไรผลิตภัณฑ์อื่นนะคะ แต่บีมแค่จะบอกว่า ถ้าคุณมีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวมันง่าย แม้สิวจะแห้งเร็ว แต่ก็สิวขึ้นต่อเนื่อง ก็หยุดใช้เถอะค่ะ แล้วลองปรับตัวล้างหน้าก่อนอย่างอื่นเลย

บางคนทำใจได้กับการใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้า ซึ่งบางคนก็ได้ผลดีนะคะ แต่กับบีม บีมเคยทำ แต่บีมไม่ชอบใช้แค่น้ำเปล่าเฉย ๆ เพราะใช้เช้าเย็นแค่วันเดียวแล้วอีกวันสิวอุดตันบีมเิริ่มขึ้นและหน้าดูหมอง ๆ บีมเลยชอบใช้ตัวล้างหน้ามากกว่า แม้ตอนที่เป็นสิวก็ตามค่ะ

แต่ถ้าคนที่ต้องใช้ตัวล้างหน้าเหมือนบีม ก็ขอให้เปลี่ยนตัวล้างหน้า อย่างน้อยจากสบู่มาเป็นเจลล้างหน้าก่อนค่ะ ส่วนจะยี่ห้ออะไรก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับบีม บีมขอยกนิ้วให้ Acne-Aid Liquid Cleanser อีกรอบสำหรับความประทับใจในการแก้ปัญหาผิวแห้งและสิวเม็ดเล็ก ๆ และการปรับสภาพผิวของบีมให้กลับมาชุ่มชื้นในรอบนี้ค่ะ และคงใ้ช้ไปตลอดการท้องครั้งนี้ค่ะ


ถ้าใครมีงบประมาณจำกัด อยากให้ผิวเปลี่ยนก่อน บีมแนะนำเปลี่ยนตัวล้างหน้าก่อนอย่างอื่นเลยค่ะ เรื่องจริงแชร์จากประสบการณ์ตรง

5.07 น.
24 ก.ค. 55

คลิกที่นี่เพื่อดู Acne-Aid Liquiid Cleanser



Friday, July 20, 2012

ไขข้อข้องใจ: หน้ามัน รูขุมขนกว้าง และสิวเสี้ยน เกิดจากอะไรและต้องแก้อย่างไรคะ

ลูกค้าไม่มีสิวค่ะ แต่สอบถามปัญหาเรื่องหน้ามัน รูขุมขนกว้าง และสิวเสี้ยนมา บีมเลยขอยกข้อความในอีเมลที่บีมตอบมาดังนี้เลยนะคะ


1.หน้ามัน เกิดจากสาเหตุอะไร และจะทำยังไงให้หายคะ
ตอบ หน้ามันเกิดจากการมีความมันส่วนเกินในร่างกายเยอะค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นไขมันเสียที่สะสมอยู่มาหลายปีแล้ว และอีกส่วนมาจากอาหารประเภทไขมัน ปรุงจากไขมัน แป้งขัดขาว ขนมปัง เบเกอรี่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวทั้งหลายหรือมีนมวัวเป็นส่วนผสม และอาหารประเภท GI สูง หรืออัตราการเปลี่ยนจากอาหารนั้นเป็นน้ำตาลกลูโคสเมื่อบริโภคแล้วมีสูงค่ะ (ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมใน Google นะคะ)

ถ้าเป็นคนมีไขมันเหล่านี้ล้นเกินอยู่ในตับหรืออวัยวะต่าง ๆ เยอะอยู่แล้ว ทานผักผลไม้เส้นใยอาหารน้อย มีคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูง  และอาศัยอยู่ในที่อากาศร้อนชื้น หน้าก็จะมันยิ่งขึ้นค่ะ 

ดังนั้น หากต้องการลดความมันของใบหน้า วิธีที่เพื่อน MB และบีมพิสูจน์แล้วว่าได้ผลคือ การปรับอาหารให้สมดุล ทาน ข้าว ถั่ว งา ผักผลไม้ ให้มากขึ้นค่ะ หมั่นออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป ล้างพิษบ้างอะไรบ้างค่ะ ก็จะ่ช่วยลดความมันส่วนเกินได้จากภายในสู่ภายนอก

ส่วนที่ผิวหน้า เราไปทำอะไรไม่ได้มากค่ะ ถ้าหน้ามันมาก ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันก็เอาไม่อยู่ค่ะ มันก็ช่วยได้นิดหน่อยค่ะ 

และแนะนำให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าค่ะ นอกจากระบบภายในแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงกับผิว เช่น สบู่ที่มีความเป็นด่างสูง ๆ ทำให้ผิวแห้งตึงเอี๊ยดหลังล้างหน้า ไม่ช่วยเก็บความชุ่มชื้นตามธรรมชาติให้ผิว มักจะทำให้หน้ามันเร็วเพราะร่างกายส่งสัญญาณมาว่าขาดน้ำหล่อเลี้ยงผิวค่ะ เลยส่งน้ำมันมาเคลือบผิวเพื่อรักษาน้ำหล่อเลี้ยงผิวให้ได้ค่ะ นอกจากนี้ยารักษาสิวหรืออะไรก็ตามที่ใช้กับหน้าที่รุนแรงก็ทำให้หน้ามันด้วยเหตุผลดังกล่าวได้เช่นกันค่ะ

2.รูขุมขนกว้าง เกิดมาจากสาเหตุอะไร และจะทำยังไงให้หายคะ
ตอบ ปัญหานี้อธิบายสาเหตุได้เหมือนกับหน้ามันค่ะ เพราะน้ำมันเยอะ เลยต้องมีช่องทางระบายใหญ่ขึ้น ผิวหน้า อก และหลังเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะค่ะ หากไขมันเสียและไขมันที่รับใหม่ที่ร่างกายเอาไปใช้ไม่ได้ล้นเกิน เขาก็หาทางระบาย ยิ่งมีน้ำมันมากก็ระบายมาก ช่องทางเลยต้องใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังเกิดจากการที่ไม่ได้ทานอาหารประเภทโปรตีน (แนะนำจากพืชตระกูลถั่วแทนเนื้อสัตว์ แต่เนื้อปลาทานได้ค่ะ) กับผักผลไม้ที่สดเยอะ ทำให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้ลดลงเรื่อย ๆ ผิวหนังที่หย่อนคล้อยลงก็มีผลทำให้เห็นรูขุมขนชัดขึ้นได้เช่นกันค่ะ

นอกจากนี้รูขุมขนกว้างยังเกิดจากผิวหน้าแห้ง ขาดการบำรุงที่ดีด้วยค่ะ

3.สิ้วเสี้ยน เกิดมาจากสาเหตุอะไร และจะทำยังไงให้หายคะ
ตอบ ลองตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าและตัวบำรุงที่ใช้อยู่ทั้งหมดค่ะ รวมไปถึงวิธีการล้างหน้าของคุณ จากที่บีมสังเกต สิวเีสี้ยนมักเกิดจากผิวบริเวณนั้นถูกกระตุ้นจากผลิตภัณฑ์ประเภทผลัดเซลล์มากกว่าปกติ ทำให้มีการแบ่งตัวมากกว่าบริเวณอื่น ๆ (ผิวแต่ละส่วนของใบหน้ามีความไวต่อสารในเครื่องสำอางไม่เท่ากันค่ะ) หรือเกิดจากความแห้งกร้านจากผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่น่ะค่ะ

ในคู่มือ MarryBeam มีวิธีล้างหน้าและการดูแลผิวหน้าและระบบร่างกายพื้นฐานในส่วนที่ 1 และ 2 นะคะ คุณบ๊วยลองศึกษาได้ค่ะ บีมเรียบเรียงเองทั้งหมดค่ะ http://www.marrybeamholistic.com/product/749152/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%20MarryBeam.html

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ SPF และ PA ในผลิตภัณฑ์กันแดด

เมื่อวานนี้ อจ.หนุ่ยแห่งเครือข่ายรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินภาคประชาชน https://www.facebook.com/groups/PSEMC/ ได้เข้ามาเยี่ยมบีมที่ออฟฟิตค่ะ เราคุยกันหลายเรื่องและสุดท้าย อจ.สอบถามเกี่ยวกับกันแดด มีเพื่อน ๆ ที่เครือข่ายสนใจ บีมเลยให้ข้อมูลไปเยอะทีเดียวและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ชาว MB และ PRETTYS เลยขอนำมาแชร์ดังนี้นะคะ



บีมเจ้าของแบรนด์นี้เองนะคะ มาให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยเบื้องต้นก่อนนะคะ

ีบีมกับ อจ.หนุ่ยรู้จักกันผ่านเครือข่ายที่นี่และได้พบกันจริง ๆ เมื่อปีที่ผ่านมาค่ะ เพราะบีมได้จัดงานเสวนาเล็ก ๆ ที่เชียงรายเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติค่ะ ก็เป็นที่มาของการได้รู้จักกันมานะคะ ตั้งแต่ตอนนั้น อจ.หนุ่ยก็ทราบว่าบีมทำเกี่ยวกับเวชสำอางอยู่ค่ะ แต่ยังไม่เคยคุยกันเรื่องนี

พอดีวันนี้ อจ.หนุ่ยได้มีโอกาสมาพบกับบีมอีกครั้งที่ออฟฟิตที่ อ.พาน คุยกันหลายเรื่องค่ะ และก็ได้คุยกันเรื่องกันแดดในตอนท้าย

จริง ๆ แล้วบีมมีกันแดดหลายตัวค่ะ แต่กลุ่มลูกค้าของบีมจะเป็นกลุ่มที่ผิว sensitive และเป็นกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากสิวเรื้อรัง สูตรสั่งทำพิเศษ หาที่ไหนไม่ได้จริง ๆ ค่ะ บีมกับแล็ปและโรงงานเป็นเพื่อนกัน รับรองว่ามีแบบนี้เ้จ้าเดียวในไทยที่คนที่เป็นสิวและไม่เป็นสิวใช้ได้ค่ะ

คนไม่เป็นสิวจะไม่มีปัญหาเลย จะสูตรไหนก็ได้ เราทำไว้ที่ SPF80 ทุกตัวค่ะ แต่ถ้าคนเป็นสิวจะมี 2 สูตรนี้ค่ะที่ใช้ได้

BB Brightening - เรามี 3 ขนาดค่ะ คือ Tester, 15 ml และ 30 ml แต่ในเว็บจะลงเฉพาะขนาดที่มีของใน stock ค่ะ ที่ขาดไปกำลังสั่งและรอของมานะคะ ตัวนี้เหมาะักับผิวโทนขาวชมพูค่ะ

http://www.marrybeamholistic.com/product/344945/BB-Brightening-Miracle-UV-Plus-SPF80/-PA-+++-30-ml-(UV-Antioxidant-SPF80).html

Miracle UV Plus Magic - รู้สึกจะมี 2 ขนาดค่ะ คือ เล็กกับใหญ่ (ขออภัยที่จำไซส์ไม่ได้ค่ะ ตัวนี้มาทีหลังตัวแรก ตัวแรกเป็นสูตรขายดีมากมา 2 ปีแล้วค่ะ แต่คนผิวคล้ำหรือโทนเหลืองอย่างบีมใช้แล้วหน้าจะลอยหน่อย เลยให้เขาทำสูตรสีไข่ไก่ออกมาค่ะ ไซส์ใหญ่สุดตอนนี้เลยมี 15 ml ค่ะ ตัวเล็กน่าจะเป็นเทสเตอร์

http://www.marrybeamholistic.com/product/645618/Miracle%20UV%20Plus%20Magic%20Cream%20UV%20A/B%20SPF%2080++%20%2015ml.html



InSpiring Beam 
สำหรับตัวที่ อจ.หนุ่ยโพสต์ลงนั้นเป็นสูตรที่อยู่ในเซ็ตรักษารอยสิวและฝ้าค่ะ ของเราทำเวชสำอางเข้มข้น การรักษารอยและฝ้านั้นจึงต้องมีกันแดดสูตรพิเศษที่จะต้องปกป้องผิวได้ดีมาก ๆ ไม่งั้นแย่เลยค่ะ ปื้นดำขึ้นแน่นอน

ลองอ่านข้อมูลที่บีมเขียนให้ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Whitening Cream
http://mbhknowledgebase.blogspot.com/2012/07/whitening-cream.html

เผื่อเพื่อน ๆ จะได้ความรู้ด้านนี้เพิ่มด้วยค่ะ ใครอยากจะขาวใสตอนนี้ ต้องระมัดระวังค่ะ แดดมันแรงกว่าปกติ จริง ๆ ผิวธรรมชาติดีสุด แต่บางคนที่ผ่านมาไม่ทันดูแลตัวเองหรือหลงไปใช้อะไรที่แย่ ๆ มา ก็ต้องซ่อมผิวก่อน พอเขาซ่อมเสร็จ ก็ต้องดูแลด้วยกันแดดดี ๆ กันต่อไปนะคะ แต่ตัวเวชสำอางสำหรับรักษารอยหรือฝ้า ไม่แนะนำให้ใช้ไปตลอดสำหรับแดดรุนแรงแบบนี้ค่ะ เราจำเป็นต้องมีเม็ดสีเมลานินที่แข็งแรงช่วยปกป้องผิวค่ะ



InSpiring Beam 
บีมไม่ได้มาโพสต์ข้อมูลเพื่อขายของนะคะ แต่ต้องมาอธิบายให้เพื่อน ๆ เข้าใจที่มาที่ไปของครีมตัวนี้ค่ะและอธิบายเพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจและอยากสั่งซื้อ จะได้ข้อมูลถูกต้องค่ะ เพราะบีมมีหลายตัว เดี๋ยวเข้าไปแล้วจะงงกันค่ะ

ยังไงรบกวนอ่านที่บีมเขียนก่อนสั่งซื้อนะคะ ส่วนใครสนใจสั่ง ก็สั่งหน้าร้านได้ค่ะ แต่ตัวกันแดดที่โพสต์นี้ขอให้สั่งด้วยวิธีนี้นะคะ

https://www.facebook.com/Healthy.Prettys/app_151503908244383

พยายามสั่งผ่านระบบหน้าร้านหรือ Facebook ตามขั้นตอนที่แจ้งนะคะ จะสะดวกกว่าการโทรสั่งค่ะ

หากต้องการสอบถามแนะนำสอบถามใน inbox ของหน้าเพจ PRETTYS เลยนะคะ (ลิงค์ด้านบนน่ะค่ะ) เดี๋ยวมีเจ้าหน้าที่ของร้านมาตอบให้นะคะ



InSpiring Beam 
สำหรับเรื่องกันกัมมันตรังสีที่เรียกว่า EUV หรือ Extreme UV นั้น บีมได้คุยในรายละเอียดกับ อจ.หนุ่ยแล้วนะคะ เดี๋ยวยังไงบีมจะเอารายละเอียดของกันแดดทั้งหมดไปคุยกับทางโรงงานอีกทีค่ะ สูตรที่เรามีอยู่นี้เป็นสูตรที่กันรังสีได้ในระดับ UVA และ UVB ค่

หลายท่านอาจยังไม่ทราบ

SPF = วัดว่ากันแดดตัวนั้นจะกันการไหม้ของผิวได้นานเท่าไหร่หากเทียบกับเวลาปกติที่เราไม่ทากันแดด สมมติว่าคนคนหนึ่งถ้าออกแดดแล้วผิวจะเริ่มไหม้แดงตอนนาทีที่ 10 ถ้าทาครีมที่มี SPF15 ก็เอา 10x15 = 150 แสดงว่าถ้าทากันแดดตัวนั้นแล้วก็กันไปได้ 150 นาทีน่ะค่ะ ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้ทาซ้ำตลอดวันนั่นเอง

PA = วัดการกัน UVA ตัวนี้จะไม่ทำให้ผิวไหม้แดง แต่จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและสามารถพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนังได้ค่ะ จะมี +, ++, +++ ค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้
http://skincareclub.wordpress.com/2011/02/21/spf-pa-sunscreen

สูตร EUV ขอเช็คข้อมูลก่อนค่ะ คงใ้ช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ ต้นทุนน่่าจะต้องสูงกว่าตัวที่โพสต์นี้ค่ะ



InSpiring Beam 
บีมเอง ส่วนใหญ่ก็ใช้กันแดดของตัวเองนี่ล่ะค่ะ ก็ใช้มาได้ 2 ปีกว่าแล้วค่ะ ใช้สลับกันไปทุกสูตร ไม่เคยมีอาการหน้าหมองลงหรือแสบผิวในตอนเย็นหลังล้างหน้านะคะ และลูกค้าก็ให้ feedback กันมาค่ะว่า กันแดดได้ดีจริงค่ะ คือรู้สึกเหมือนกันว่าทาแล้วแม้จะบางเบา แต่ตอนเย็นมาก็หน้าไม่หมองคล้ำค่ะ

บีมต้องบอกข้อเท็จจริงว่ากันแดดนั้นถ้าไม่ใช่ยี่ห้อดังๆ จริง หากซื้อครีมกันแดดที่เขาสั่งทำเหมือนอย่างบีมนี้ หลายเจ้าไม่่ได้ใส่สารกันแดดให้มีประสิทธิภาพตามค่าที่เขาเขียนบนฉลากนะคะ

หลายท่านที่เป็นฝ้าหรือกระ ใช้ครีมซื้อตามท้องตลาด บอกว่าทากันแดด SPF 40-80 แล้วยังเป็นฝ้าหรือกระอยู่และหน้าเหี่ยวหรือดูแก่กว่าวัย แสดงว่ากันไม่ได้เท่าันั้นจริงค่ะ คือ แปะค่า SPF และ PA เกินกว่าที่ใส่่จริงนั่นเองค่ะ

บีมไม่ได้บอกว่าของตัวเองดีที่สุดนะคะเพราะไม่ได้ไปลองใช้ทุกยี่ห้อ แต่การเลือกกันแดดนั้นหลักเกณฑ์ก็มีคร่าว ๆ ประมาณนี้ค่ะ ทาแล้วกันได้จริง ตอนเย็นมาไม่ดำ ไม่แสบผิว ไม่หมองลงก็เป็นอันใช้ได้ค่

แต่ก็ต้องใช้หมวก เสื้อผ้า ร่มช่วยด้วยนะคะ ของพวกนี้เขาก็มีค่า SPF วัดเหมือนกันค่ะ ลองอ่านในลิงค์ที่แปะดูนะคะ

ของบีม 80 คือ 80 ค่ะ มี PA ก็คือมี PA ค่ะ ไม่หลอกลวงแน่นอน



InSpiring Beam 
Gai Kanidtha ชุดทดลองไม่มีแล้วค่า่ เพราะเป็นสูตรขายดีทั้งคู่ค่ะ เลยทำมาแต่ไซส์จริงแล้วค่ะ

Chalermrith Alongkhonrassamee ลองอ่านข้อมูลที่พี่โพสต์ดูก่อนนะคะ แล้วถ้าจะสั่งซื้อก็ตามวิธีที่พี่โพสต์เลยค่ะ

Nutchamon Wasu กระปุกนี้ ถ้าหน้าเล็กใช้ได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ (ทาทุกวัน) หน้าใหญ่น่าจะได้ประมาณเดือนกว่าค่ะ สำหรับกันแดดตัวจะได้ประมาณ 1-1.5 เดือนค่ะ แล้วแต่พื้นที่ผิวหนังของแต่ละคนค่ะ แนะนำว่าก่อนทากันแดดตัวนี้ให้ทาโลชั่นก่อนค่ะ เวลามีน้ำที่ผิว จะใช้ครีมกันแดดน้อยลงแต่เกลี่ยได้มากขึ้นค่ะ ทำให้ประหยัดแต่คงประสิทธิภาพค่ะ

Mine Mint และ นิภาพัฒน์ หมื่นวิเศษ กันแดดทาตัวตอนนี้หมดแล้วค่ะ ล็อตใหม่เดี๋ยวรอดูต้นทุนก่อนนะคะ แต่ที่ขายล็อตเก่าอยู่ที่ 450 บาทค่ะ ส่วนกันแดดหน้า ถ้าสูตรนี้ 620 บาทค่ะ ลดจาก 690 บาทค่ะhttp://www.marrybeamholistic.com/product-category/235599/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-PRETTYS.html

รวมแล้วก็ประมาณ 1,140 บาทค่ะ ค่าจัดส่ง EMS อีก 50 บาทค่ะ

Cheng Thongnork ค่ะ 80 จริงค่ะ จัดเต็ม


Thursday, July 12, 2012

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Whitening Cream

ด้วยความที่มีข้อข้องใจสงสัยมากมายเกี่ยวกับประเด็นครีมหน้าขาวที่มันมากันเป็นระลอก ๆ และที่มันกระทบกับความรู้สึกของคนใช้ MarryBeam น่าจะเป็นเรื่องของครีมที่ช่วยในการรักษารอยค่ะ คือ เราไม่ได้ใส่สารอันตรายอะไรลงไปในครีม ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อผู้บริโภคของเราแน่ แต่บีมว่าหลายคนและเพื่อนของอีกหลายคนที่เห็นว่าใช้ของเราแล้วทำไมหน้ามันขาวใสขึ้น ดีขึ้น แล้วเขาจะต้องมาถามกลับใช่ไหมคะ  ทำไมมันดีแบบนั้นล่ะ ระวังเถอะ ใช้แล้วจะมีปัญหา

คืนนี้บีมเลยสละเวลาเขียนหนังสือ ตระเวนอ่านข้อมูลให้มากที่สุดทั้งไทย ทั้งอังกฤษ เกี่ยวกับประเด็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษารอยและฝ้าไปดูทั้ง forum ทั้งงานที่ professional เขียน ก็ดูหลาย ๆ ที่ค่ะจะได้เห็นภาพรวม บีมไม่ได้เลือกเอาที่ตรงกับความเห็นของตัวเองแน่ ๆ เพราะถ้ามันมี effect จริงกับผู้ใช้ของบีม บีมจะได้เลิกขายอย่างไรล่ะคะ คือ อ่านให้มันรู้แน่ ๆ ไปเลยว่าอะไรยังไง เพราะบีมก็เบื่อกับประเด็นหน้าขาว ๆ ตัวขาว ๆ อะไรนี่แหละค่ะ คือ ถ้าเราไม่รู้ข้อมูลทั้งหมด ไม่รู้บริบทว่ามันเป็นไงมาไง เราก็จะงง ๆ กับสิ่งที่เราทำ บีมเป็นคนไม่ชอบอารมณ์แบบนี้ซะด้วย คือ ถ้าอะไรไม่ดีก็พร้อมจะตัดออกไป ชอบทำอะไรที่มันสบายใจ

ตัวบีมน่ะรู้ว่าบีมไม่ได้ขายอะไรที่เป็นอันตราย แต่คนอื่นเขาจะรู้กับเรามั้ย นั่นล่ะคือประเด็นที่บีมกำลังจะเรียบเรียงให้ฟังนะคะ โดยไม่ได้ออกมาจากความเห็นของบีม แต่บีมเรียบเรียงข้อมูลมาอีกที จะได้เอาอคติออกไปนะคะ แล้วให้ผู้อ่านได้พิจารณากันเอง

บีมสรุปให้ฟังก่อนตามนี้นะคะ

บีมตั้งต้นค้นคว้าประเด็นที่มีการถกกันมากสุดก่อน คือ FDA กับ Hydroquinone เพราะเวลาเป็นข้อมูลจากต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มันจะเห็นอะไรกว้างกว่าค่ะ

อันนี้ต้นฉบับ

As a result of the review spanning over 40 years, hydroquinone was one of many products receiving the "GRASE" (generally recognized as safe and effective) designation. In the 1980s, reports of exogenous ochronosis secondary to hydroquinone use by South African Blacks appeared in the medical literature. A large proportion of these reports describe subjects that had applied high concentrations (6%-8.5%) of hydroquinone-containing products (hydroalcoholic solutions, some with mercury and/or resorcinol) over extensive body surfaces, several times a day, for years and even decades.


เท่าที่อ่านดูมาแต่ละอัน อันนี้ดูเป็นกลาง ๆ ที่สุดละ ยังไงก็ลองไปติดตามอ่านให้จบได้ค่ะ

คือ เจ้าไฮโดรควิโนนเนี่ยมันถูกใช้ในการรักษาฝ้าและได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้มาก ใช้กันมา 40 กว่าปี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเป็นอะไร (ในอเมริกานะคะ) แต่พอมาช่วงปี 1980 เนี่ย ก็มีรายงานมากมายเลยที่เป็นผลข้างเคียงเกี่ยวกับความผิดปกติของสีผิว ซึ่งจะเป็นลักษณะดังรูปนี้



แล้วมีหลายเคสมาก ๆ แต่เป็นเพราะอะไรทราบหรือไม่คะ คือ เขาไม่ได้ใช้ไฮโดรควิโนนเพียว ๆ หรือใช้เปอร์เซ็นต์ต่ำเหมือนที่ในสหรัฐฯ เขาใช้ คือ เขามีข้อกำหนดว่า ถ้าจะผลิตครีมรักษาฝ้าหรือรอยสิวขายทั่วไปเนี่ย จะต้องมีไฮโดรฯ ไม่เกินกว่า 2% ซึ่งถ้าเกินกว่านั้นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

ชาวแอฟริกันที่อยากขาวเขาก็ทั้งทาหน้า ทั้งทาตัว และเราต้องเข้าใจว่าความอยากกับความรู้มันสวนทางกัน คือ บีมไม่ได้มีอคติอะไรกับคนผิวสีหรือชื่นชอบผิวขาวเป็นพิเศษ แต่เราพูดความจริง เราก็รู้ว่าประชากรส่วนใหญ่ในทวีปนี้เขาก็ไม่ได้รวย ติดอันดับยากจนเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่อยากขาวเขาก็จะใช้ครีมที่ทำให้ขาวโดยหารู้ไม่ว่า ความอยากขาวเร็วแต่อยากได้ของราคาไม่แพงนั้น มันแฝงมาด้วยไฮโดรฯ เปอร์เซ็นสูงที่มากกว่า 4% และยังมีสารอื่น ๆ ปะปนอยู่ในครีมด้วยเช่น ปรอท กรดวิตามินเอ คือ ปรอทเนี่ย ยังไงมันก็ไม่ควรมาอยู่ในครีมแน่ ๆ แต่เขาใส่เพื่อให้มันเร็ว ส่วนเจ้ากรดวิตามินเอนี้ จริง ๆ แล้วในครีมรักษาฝ้าและรอยสิวที่จำหน่ายอยู่ก่อนที่ FDA จะแบนนี้ มันมีผสมอยู่แล้วค่ะ เพราะมันจะทำงานร่วมกับไฮโดรฯได้ดี คือ กรดวิตามินเอจะช่วยให้ผิวผลัดเร็วขึ้นเพื่อช่วยให้ไฮโดรฯเข้าไปได้มากขึ้นนั่นเอง ไฮโดรฯก็เข้าไปทำงานของเขาคือยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินนั่นเอง

พอใ้ช้ของแบบไม่มีสติ ไม่มีความรู้ มันก็เลยเป็นโทษนั่นเองค่ะ เพราะเขาใช้กันทุกวัน วันละหลายเวลา ต่อเนื่องกันเป็นปีและหลายปีก็มี

แล้วพอมีเคสแบบนี้ในแอฟริกามากมาย ทางยุโรป ญี่ปุ่น ก็แบนไฮโดรฯ ไปเลย แต่บีมไม่แน่ใจว่าแพทย์สั่งได้อยู่ไหมนะคะ ลองไปค้นกันดูเองถ้าอยากทราบเนอะ

ฝั่งอเมริกาเอง FDA ก็มาทำการทดลองกับหนูทดลอง โดยให้หนูทานในปริมาณสูง ๆ ตามเอกสารที่บีมอ่านเบื้องต้นนี้ เขาได้ข้อสรุปว่า ไฮโดรฯ มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็น สารก่อมะเร็ง...
 
"some evidence of carcinogenicity." (จากเอกสารชิ้นเีดียวกันนี่ล่ะค่ะ)

แต่เอกสารนี้มันก็นานแล้วเหมือนกันนะคะ คือ น่าจะ 2007 ละ แต่เขาก็พยายามนำเสนอจุดอ่อนที่ FDA ควรตระหนักในการทดลองครั้งนี้ คือ ไม่ได้มีการทดลองกับคน และเขาก็มีข้อสรุปว่า

To the best of our knowledge, their have been no cases of cancer associated with cutaneous application of hydroquinone.

จากความรู้สูงสุดที่เรามี, ไม่มีเคสการทาไฮโดรควิโนนบนผิวหนังจะเกี่ยวข้องกับการก่อมะเร็ง

และเขาก็นำเสนอไป FDA ไป 3 ข้อ

On behalf of the Dermatology Section of the National Medical Association, we included in our response to the FDA a request that in consideration of their "mission" they: 1) consider the cases of exogenous ochronosis reported in the US--not Africa, 2) review all of the available pharmacology/toxicology data on hydroquinone, and 3) use their resources to obtain epidemiologic human data to fully answer the safety questions.
  1. ให้พิจารณาเคสที่เป็นโรคเม็ดสีผิดปกติที่มีรายงานในสหรัฐฯ ไม่ใช่อาฟริกา
  2. พิจารณาข้อมูลทางด้านเภสัชและพิษวิทยาของไฮโดรควิโนนทั้งหมดที่มี
  3. ใช้แหล่งข้อมูลของ FDA เองในการเก็บข้อมูลที่ผิวหนังมนุษย์ (ไม่ใช่ให้หนูกิน- บีม) ในการตอบคำถามด้านความปลอดภัยทั้งหมด
อันนี้เป็นสิ่งที่องค์กรนี้นำเสนอไปนะคะ ก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาละ

แต่จากที่อ่าน ๆ ดูรีวิวของผู้ใช้ไฮโดรฯ ที่เป็นฝรั่งมังค่าและชาวผิวสีในอเมริกา ก็ได้ข้อสรุปมาดังนี้

กลุ่มแรก พอใจผลลัพธ์
กลุ่มที่สอง มีอาการแสบแดง คัน ตึง ๆ เล็กน้อยตอนกลางวัน หยุดใช้ก็ดีขึ้น
กลุ่มที่สาม ใช้ตอนแรกดีมาก แต่พอหยุดใช้หน้าคล้ำลง บางคนดำและฝ้าขึ้นเป็นปื้น (กลุ่มนี้บีมสังเกตว่า เหมือนเขาจะไม่รู้ว่าตอนใช้ไฮโดรฯ ต้องใช้กันแดดด้วย แป่ว! คือจะ Whitening ที่มีสารสกัดตัวไหนก็ต้องทากันแดดทั้งนั้นล่ะค่ะ แม้จะไม่ได้ใช้ Whitening ก็ควรทาอยู่ดี เพราะแดดมันแรงมาก ๆ เลยตอนนี้ คือ ตอนที่ใช้ไม่ได้ทากันแดด และพอหยุดใช้แล้ว เม็ดสีก็เห็นว่า โอ้ว! อันตรายมาก ไม่มีเมลานินปกป้องผิวเลยนะนี่แดดแรงแบบนี้ เลยผลิตกันขึ้นมาเพียบเพื่อจะพยายามช่วยปกป้องผิวอีกครั้ง เลยเป็นปื้นดำน่ะค่ะ นี่สมมติฐานของบีมเป็นแบบนี้)

ในด้านแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่ง ก็มีการจัดตั้งทีมศึกษาและก็มีการต่อต้าน FDA ในเรื่องนี้เหมือนกัน โดยมองประเด็นคล้าย ๆ กับบทความที่บีมได้นำเสนอไปแล้ว

However, hydroquinone products in South Africa and other African countries were found to also contain mercury and glucocorticoids, among other caustic and illegal contaminants, which is believed by many to be the cause of the serious side effects seen (Sources: International Journal of Dermatology, February 2005, pages 112–115; and British Journal of Dermatology, March 2003, pages 493–500). Other countries, such as those in the European Union have banned hydroquinone chiefly on the basis of these reports, but it's without substantiated proof that, when properly formulated, hydroquinone is not a harmful ingredient.


Finally, despite what you may have read, hydroquinone is not carcinogenic (cancer-causing). Considerable analysis of the animal research that raised this concern has shown that hydroquinone is not and cannot be classified as a human carcinogen (Source: Critical Reviews in Toxicology, Volume 10, 2007, pages 887-914). If you're struggling with brown spots or sun-induced skin discolorations, hydroquinone remains the best ingredient to treat them.


และนี่คือ PRESS RELEASE จาก Harvard Health
Hydroquinone. Many dermatologists consider this cream the best choice for treating age spots. You can expect to see results in four to six weeks, with the greatest improvement after four to six months. The most common side effect is irritation or reddening. The FDA recently proposed a ban on over-the-counter preparations containing hydroquinone because studies found that the drug may cause cancer when fed to rats and mice. So far, there are no studies showing any increased risk to humans using the drug topically. The FDA is still responding to challenges from critics who oppose the ban.



 แต่ก็นั่นล่ะค่ะ บีมยังหาบทความล่าสุดคือ 2011 - 2012 เกี่ยวกับข้อสรุปของ FDA ไม่เจอ ใครเจอก็ช่วยแ้จ้งด้วยนะคะว่าสรุปว่ายังไง ที่หา ๆ มานี้ก็เป็นของปี 2006-2007 ยกเว้นพวกรีวิวของผู้ใช้ธรรมดาค่ะ ที่อาจจะมาใหม่ ๆ เลย

ที่หาไ้ด้ใหม่สุดก็อันนี้นะคะ คือ FDA ประกาศว่าไฮโดรฯ เป็นสารที่ปลอดภัยแล้ว (แต่มันไม่มีลงวันที่ที่คนอัพเดทบทความนะคะ ยังไงช่วยบีมดูอีกทีนะคะ มีตรงไหนต้องแก้ก็บอกกันได้เลย ไม่อยากให้คนได้ข้อมูลผิดพลาดไป แต่เท่าที่ดู ๆ แล้ว อันนี้ล่ะที่อัพเดทล่าสุด)

The FDA has classified hydroquinone currently as a safe product, as currently used.[4][6]

และจากที่บีมอ่านมาทั้งหมดทั้งมวล มาสรุปให้ฟังม้วนสุดท้ายว่า
  1. จริงๆ  แล้วสมัยก่อนเจ้าไฮโดรฯและครีมรักษาฝ้าที่ขายทั่วไป (ในอเมริกา) เขาอนุญาตให้ใช้ไฮโดรฯ ได้ไม่เกิน 2% ถ้ามากกว่านั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  2. ใช้กันมา 40 กว่าปีไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งมีเคสที่อาฟริกาเกิดขึ้น 
  3. จากนั้นยุโรป ญี่ปุ่น ก็แบนไป ส่วนอเมริกาปี 2006 FDA (อ.ย.ของอเมริกา) มีข้อเสนอให้แบนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฮโดรฯเพราะผลการทดลองจากหนูทดลองโดยการให้กินนั้นสามารถเป็นสารก่อมะเร็งได้
  4. ล่าสุด (จากเอกสารที่ค้นคว้ามานะคะ) FDA ประกาศให้เป็นสารปลอดภัยแล้ว และล่าสุดที่บีมเช็คในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางของ อย. ฉบับล่าสุดเลย บีมค้นดูแล้วไม่มีชื่อ Hydroquinone ในเอกสารนะคะ แต่มันมีชื่อสารกว่า 500 ตัวได้นะ ซึ่งใครที่เรียนเคมีก็ลองไปเช็คดูนะคะว่ามันมีเจ้าตัวนี้อยู่ในนั้นมั้ยเพราะบีมไม่รู้จักชื่อเขาในการเขียนแบบอื่น คือ เคยเรียนเคมีมาค่ะ สารตัวนึงอาจมีหลายชื่อ มีชื่อเล่น ชื่อจริง อะไรแบบนี้เนอะ แต่บีมพิมพ์คำว่า Hydroquinone แล้วมันไม่เจอ นะ แต่เจอ retinoic acid (กรดวิตามินเอ) และอีกตัวค่ะ และข่าวนี้ก็ออกจาก อย.เอง ก็ยังมีไฮโดรเป็นสารต้องห้ามค่ะ http://elib.fda.moph.go.th/elib/cgi-bin/opacexe.exe?op=dsp&wa=5149BA4&bid=38115&qst=@158,@76545,^,@160,^,@508,^,@76546,^&lang=1&db=jindex&pat=%e4%ce%e2%b4%c3%a4%c7%d4%e2%b9%b9&cat=gen&skin=u&lpp=20&catop=&scid=zzz

    สำหรับเอกสารที่เป็นข้อกฎหมายที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเลย คือ
    ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
    เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง
    หน้า ๑๓ เล่ม ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๘๐ ง ราชกิจจานุเบกษา ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/E/080/13.PDF

    กด Crlt+F แล้วหาดูนะคะ หรือใครมีความสามารถในการดูสารเคมีและชื่อของมัน ก็ลองตรวจสอบดูกันอีกทีค่ะ แต่ Mercury กับ Retinoic Acid นั้นมีแน่นอน แต่ไม่เจอถ้าหาด้วยคำว่า Hydroquinone ซึ่งเขาอาจจะมีชื่อเล่นอื่น ๆ นะคะ
  5. สุดท้ายแล้ว ถ้าเฉพาะไฮโดรฯ กับกรดวิตามินเอ หากใช้แบบมีสติ ใช้แบบถูกวิธี คือ ใช้เฉพาะก่อนนอน ใช้ในความเข้มข้นต่ำ (สหรัฐฯกำหนดที่ 2% หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ำจำหน่ายทั่วไป ถ้าเิกินกว่านี้ก็ต้องให้หมอจ่ายเท่านั้น) ใช้ไม่นาน ไม่ได้กิน และทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงขั้นมะเร็งอย่างที่ตกใจกลัวกัน แต่แดดสมัยนี้มันแรงมาก ๆ อย่างไรล่ะคะ การใช้ครีมที่ทำให้ผิวขาว ทำให้ผลัดเซลล์ รักษารอย จึงควรต้องใช้อย่างระมัดระวังมากขึ้น ใช้แล้วก็ต้องใช้ตามวิธีที่มันถูกต้อง ถอนการใช้ถูกต้อง เพราะเจ้าตัวเหล่านี้เขาไปทำให้เม็ดสีไม่ทำงาน ซึ่งตามปกติเวลาที่ผิวโดนแดดหรือความร้อน ผิวจะตอบสนองโดยการสร้างเมลานินขึ้นมาปกป้องตามธรรมชาติ ทำให้คนไทยคล้ำกว่าฝรั่งหรือญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

    คือส่วนตัวบีมไม่ค่อยเชียร์ให้คนใช้เพื่อหน้าขาว แต่ที่ MarryBeam มีตัวรักษารอยขึ้นมา บีมมั่นใจว่าไม่มีสารอันตรายแน่นอน และชุด PRETTYS นั้นก็ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของการช่วยให้รอยสิวจางเร็ว คือ เมื่อก่อนบีมจำหน่ายแต่ตัวช่วยฟื้นฟูิผิวกับรักษาสิว พอลูกค้าสิวหาย เขาก็อยากรักษารอย แต่สูตรที่เคยมีมันก็ไม่สามารถตอบสนองได้ บีมเลยแจ้งทางแล็ปว่าขอที่รักษารอยได้ดีกว่าเดิมได้ไหม มันก็ได้มา 3 สูตรคือ น้ำนมข้าว น้ำลายหอยทาก และชุด PRETTYS นั่นเองค่ะ ซึ่งถ้าใครใช้แล้วมีอาการแพ้ ก็คืนได้ เราไม่ว่ากัน เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แต่ไม่เคยมีใครหยุดใช้แล้วฝ้าดำเป็นปื้นขึ้นสักคนนะคะตั้งแต่ขายมาค่ะ คือ หลังจำหน่ายไป เราก็คอยเก็บข้อมูลตลอด ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้างไปค่ะ ไม่ได้สักแต่ว่าขาย คือ ถ้าใครใช้แล้วมีปัญหาต้องกล้าเขียนมาบอก เราจะได้ทราบด้วยค่ะ จะได้ช่วยคุณแก้ปัญหาหรือจะได้ทราบว่าผิวแบบไหนที่จะใช้ได้หรือไม่ได้อย่างไร เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคท่านอื่นด้วย

    สำหรับชุด PRETTYS บีมก็ไม่ได้แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องไปตลอด คือ ถ้าพอใจกับรอยสิวที่จางแล้ว ฝ้าที่หายแล้ว ก็หยุดใช้และบีมก็สอนวิธีถอนการใช้ให้แล้วด้วยค่ะ ถ้าอ่านละเอียดในหน้าเพจ คือ ถ้าจะหยุดก็หยุดตัว Night ได้เลย ก็ใ้ช้แต่สบู่ Dermo Serum และก็กันแดดแค่นั้น คือ ต้องใช้ Dermo Serum ต่อไปอีกช่วงจนกว่าผิวจะปรับสภาพค่ะ และที่ต้องใช้ทุกวันเลยก็คือกันแดดค่ะ เพราะผิวเขายังอยู่ระหว่างปรับตัว จากเดิมเขาถูกยับยั้งไม่ให้สร้างเม็ดสี ต้องให้เวลาเขาสักพักในการปรับการทำงานมาเป็นปกติ

    บอกได้ว่าหลังหยุดใช้แล้ว ผิวจะไม่ขาวเหมือนตอนใช้ เพราะเม็ดสีเขาจะเริ่มกลับมาทำงานแล้ว แต่รอยที่เคยเป็น ฝ้าที่เคยเป็นมันหาย มันดีึขึ้นแล้วอย่างไรล่ะคะ เราก็ใช้รักษาเฉพาะกิจแค่นั้น จะไปเดท จะแต่งงาน ก็ใช้ทำให้ผิวมันสว่างขึ้น (ถ้าต้องการ) หลังจากนั้นก็กลับมาบำรุงผิวตามปกติ และทากันแดดสม่ำเสมอ (เน้นว่าต้องทาทุกวันเลยล่ะค่ะ และกันแดดของ MarryBeam กับ PRETTYS มีค่า SPF สูงอยู่แล้ว ไม่โกง SPF แน่นอน ไว้ใจได้ค่ะ ทาออกแดดแล้วหน้าไม่ดำกลับมา)

    คือ ถ้าคนใช้ไม่ได้จริง ๆ มันก็จะระคายเคืองตั้งแต่วันที่ 2-3 ที่ใช้แล้วค่ะ ยังไงก็ลองเทสต์ดูก่อนที่แขน ตอนเ้ช้าไม่ต้องล้างออกนะคะ ก็ออกไปทำงานทำอะไรตามปกติ ถ้าถึงเย็นแล้วไม่มีอาการอะไร ก็แสดงว่าน่าจะใช้ได้ แต่ก็อีกนะคะ ผิวที่แขนกับหน้าก็อาจไม่เหมือนกัน บางคนเทสต์กับแขนไม่แพ้ แต่พอใช้กับหน้าก็ใช้ไม่ได้ แต่ของเราแค่ไม่เกิน 2 วันค่ะ ก็เห็นละ ถ้าใช้ไม่ได้ก็ยินดีคืนเงินให้ 100% ตามนโยบายค่ะ ไม่ว่ากัน
ที่เขียนและเรียบเรียงมาเสียยาวก็เืื่พื่ออยากให้เพื่อน ๆ ได้มองประเด็นนี้กระจ่างมากขึ้นเหมือนที่บีมมองเห็น มันอาจจะผิดก็ได้ค่ะ แต่เท่าที่บีมประมวลมาทั้งหมด บีมว่าบีมพอจะเข้าใจที่มาที่ไปของประเด็นต่าง ๆ เป็นอย่างดีแล้ว คือ ของมันไม่ได้อันตราย แต่คนเอาไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า และผู้ผลิตกับผู้อยากขาวจำนวนมากมายก็ทำงานร่วมกันแบบไม่รู้ตัว คือ ทำให้ของที่ควรจะใช้ให้เกิดประโยชน์ เอามาทำให้เสียมาตรฐานเดิมของเขา เอามาผสมปนเปกันเพื่อตอบโจทย์ ขาวเร็ว ราคาไม่แพง

บีมไม่ได้มีเจตนาว่าคนอื่นไม่ดีหรอกนะคะ แต่พอดีธุรกิจที่บีมทำมันก็มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้อยู่บ้างคือ
  1. เราขายทางอินเตอร์เน็ต (แต่ตอนนี้เราก็มีร้าน มีออฟฟิตตั้งแน่นอนแล้วนะคะ) ซึ่งมันเหมือนนินจานะ ใครจะทำอะไรก็ง่ายค่ะ ขายอะไรแล้วโดนจับ ก็เปลี่ยนไปใ้ช้ host ใหม่ ตั้งชื่อใหม่ หรือขายในเฟส คือ เวลามีข่าวแบบนี้ เรามีตัวตนในอินเตอร์เน็ต มันก็โดนหางเลขไปด้วยแหละ เลยขอเคลียร์กันหน่อยนะคะ
  2. เรามีตัวที่ช่วยรักษารอยสิวที่เป็น Night Cream ซึ่งคนใช้จะเห็นผลค่อนข้างดีและเร็ว ทำให้ตัวคนใ้ช้หรือเพื่อนรอบตัว คนในครอบครัวมีคำถามกับคนนั้นได้ว่า ไม่กลัวเหรอ อะไรมันจะดีและเร็วขนาดนั้น คือ บีมจะบอกว่า ก่อนจะพัฒนามาสูตรที่เห็นกันทุกวันนี้ เราผ่านมาหลายสูตรแล้วค่ะ แล็ปส่งมาให้บีมไม่รู้จะกี่รอบ มาเทสต์ มาให้ลูกค้าลองดู ตัวที่ขายทุกวันนี้คือ The Best แล้ว มันก็เลยดีและเร็วอย่างที่เห็นนะคะ แต่มันก็มีคนใช้ไม่ได้ซึ่งผิวแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ อันนั้นเราก็ไม่ว่ากัน ก็เลยขอมาเคลียร์อีกประเด็น
เอาเป็นว่า ไม่ว่าบีมจะทำอะไร จะขายอะไร บีมมองที่ความสบายใจของตัวบีมเองด้วยนะคะ และมองว่าคนใช้เขาได้ประโยชน์มั้ย คือ ถ้ามันอยู่ตรงกลางพอดี บีมสบายใจจะขาย คนใช้ได้ประโยชน์ ก็คือจบ และสิ่งที่บีมกลัวที่สุดก็คือ การไปตกนรกนะ นี่เรื่องจริง บีมไม่ได้สร้างภาพตัวเองให้เป็นคนดีอะไร ไม่ใช่คนดี 100% แต่พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และมองเห็นวัฏฏะสงสารของการเกิดดับของชีวิตก็เท่านั้นเองค่ะ และเชื่อในภพภูมิแม้จะไม่เคยมีตาทิพย์มองเห็น ชีวิตมนุษย์กับการหาเงินมันสั้นค่ะ บีมมองเห็น สั้นมากเมื่อเทียบกับอะไรที่จะต้องไปต่อข้างหน้า อะไรที่ไม่ดีไม่อยากทำจริง ๆ

ทุกวันนี้ทั้งหมดที่ขายไม่ว่าจะเป็น MarryBeam หรือ PRETTYS หรืออะไรก็ตามที่บีมแนะนำทุกคนไป คือ บีมต้องมั่นใจก่อนว่ามันไม่เป็นอะไร มันปลอดภัยแน่ และบีมขอแนะนำให้ทุกคนศึกษาข้อมูลของเราทั้งหมดก่อน และใช้ให้ถูกวิธี ตัวที่รักษารอยหรือชุด PRETTYS แม้จะไม่ได้ใส่สารอันตราย ก็อย่าไปใ้ช้นาน ๆ สวยธรรมชาติ ผิวธรรมชาติดีที่สุดนะคะ เพราะ การที่เราไปยับยั้งเม็ดสี ทั้งที่เราอยู่ในประเทศที่ร้อน แดดแรง เราต้องมีเมลานินปกป้องผิว คือ ถ้าจะยับยั้งเม็ดสีีก็ขอให้ทำเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่เิกิน 2-3 เดือน คือ ถ้าพอใจกับรอยหรือฝ้าที่จางแล้ว หลังจากนั้นก็ถอนการใช้ Whitening ไป ไปใช้บำรุงตามปกติและต้องทากันแดดตลอด (ย้ำว่าตลอด)

ใช้ตามที่แนะนำค่ะ แล้วคุณจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ ถ้าใช้นอกเหนือไปจากที่แนะนำ หรือเราเตือนแล้วไม่ฟัง...อันนั้นก็นอกเหนือความรับผิดชอบของเราแล้วนะคะ คุณจะเคลมอะไรไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

หรือจะเลือกไม่ใช้ Whitening เลยก็ได้ค่ะ ก็อาจจะใช้สารสกัดจากธรรมชาติหรือตามที่คุณใช้แล้วรู้สึกสบายใจได้เลยค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละท่าน

ด้วยความปรารถนาดีเสมอ
บีม

ลิงค์ที่ไปอ่านมาทั้งหมด


Saturday, July 7, 2012

มะละกอกับฝรั่งทานระหว่างช่วงรักษาสิวได้ไหมคะ

พอดีว่าอ่านหนังสือ "สิว ซีเคร็ต" ของคุณบีม แล้วสงสัยเนื้อหาในหน้า 72-73 ที่บอกว่า
ควรงดผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน (เนื้อเยอะ น้ำน้อย รสหวาน) เช่น มะละกอ ฝรั่ง
คือปกติเป็นคนท้องผูก และมีสภาวะร้อนเกินอยู่แล้ว และชอบทานฝรั่งกับมะละกอมาก
เพราะโดนส่วนตัวคิดว่าช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะมะลกอ
ประกอบกับได้อ่านจากหนังสือและบทความในอินเตอร์เน็ตเขาก็ไม่ได้ห้ามทานมะละกอและฝรั่งระหว่างล้างพิษ (แนะนำด้วยซ้ำค่ะ)
แต่พออ่านหนังสือของคุณบีมจึงหันไปทานแตงโม แอปเปิ้ล และสัปปะรดแทน
จึงอยากขอความกระจ่างว่า ตกลงควรทานผลไม้สองชนิดนี้ดีมั้ยคะ กลัวทานแล้วสิวขึ้นค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ


--------------------------------------------------------------------

คุณ KungKing

ปกติแล้วเราสามารถสังเกตได้เองค่ะว่าเราเหมาะกับผลไม้ชนิดไหนค่ะ ถ้าทานแล้วท้องไม่อืด รู้สึกสบายตัวดี เราก็ทานได้ค่ะ ที่บีมเขียนแบบนั้นเพราะตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าคนเป็นสิวนั้นมีภาวะร้อนเกินอยู่มากค่ะ ตามหลักก็ต้องงดผลไม้และผักฤทธิ์ร้อนที่จะไปทำให้ร่างกายเสียสมดุลมากขึ้น ซึ่งบีมก็ประยุกต์แนวทางของคุณหมอเขียวมาอีกทีค่ะ ซึ่งตำราผลไม้ฤทธิ์ร้อนเย็นของหมอเขียวก็อาจต่างไปจากของแผนจีนได้อีกค่ะ ซึ่งบีมก็เคยเจอคำถามแบบนี้ค่ะ แต่บีมมองว่าถ้าจะมองจากภูมิปัญญาที่ได้จากการเก็บตัวอย่างคนไทยจริงๆ  ก็ต้องของคุณหมอเขียวเป็นหลักค่ะ เพราะแผนจีนก็มาจากตำราจีน แต่คนจีนก็ลักษณะทางกายภาพที่ต่างไปจากคนไทย ตำราที่เหมาะกับเขาก็จะเป็นอีกเล่มค่ะ แต่โดยรวมถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับปรับสมดุลและเกี่ยวกับระบบเส้นลมปราณซึ่งเป็นพื้นฐานร่างกายมนุษย์ทุกคน เราก็เอามาใช้ด้วยกันได้ค่ะ

ดังนั้น การที่คุณจะเลือกทานผักผลไม้หรืออาหารใด ก็ให้เน้นที่ว่าคุณทานแล้วรู้สึกสบายร่างกายหลังทานไป 30 นาทีค่ะ ไม่มีภาวะร้อนเกินหรือเย็นเกินเกิดขึ้น ซึ่งศึกษาเพิ่มเติมได้ในซีรีย์หนังสือที่เีีขียนโดยหมอเขียว ใจเพชร กล้าจนค่ะ

และถ้าทานได้เหมาะกับตัวเองก็จะทำให้รู้สึกสบาย ถ้ารู้สึกสบายตัวดี แต่มีสิวขึ้น ก็ให้ตั้งสมมติฐานว่าเป็นสิวขับพิษค่ะ เราก็ต้องช่วยเขาระบายพิษด้วยการอบสมุนไพร ซาวน่า แช่มือแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพร ขูดกัวซา ออกกำลังประเภทโยคะ ดัดตัว เืพื่อช่วยให้เลือดลมไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณได้ดีค่ะ ซึ่งการออกกำลังประเภทว่ายน้ำ วิ่ง แอโรบิค ฯลฯ ให้แต่่ความแข็งแรงค่ะ แต่ไม่ได้ให้ความยืดหยุ่นและไม่ได้ช่วยให้ระบบเอ็นและกระดูกเข้าที่ค่ะ

ถามมาคำถามเดียว แต่ตอบไปไกลเลยค่ะ แต่หวังว่าคุณจะได้รับคำตอบสำหรับคำถามในใจของคุณนะคะ

บีม