Monday, October 15, 2012

วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันหลังล้างพิษรักษาสิว (ป้องกันสิวเกิดซ้ำในอนาคต)


คำถาม 2 ข้อนี้มาจากน้องที่รักษาสิวตามแนวทางนี้มาได้สักพักใหญ่แล้วค่ะ แต่เข้าใจว่าน้องคงจะมีปัญหากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามมาเช่น อาการขับพิษที่ค่อนข้างรวดเร็วเวลาเจออะไรแปลกปลอม และคำตอบที่บีมตอบนี้ถือเป็นคำอธิบายใหม่ล่าสุดที่บีมเองค้นพบไม่นานมานี้นะคะ อยากให้อ่านกันดูค่ะ และคิดว่าเพื่อป้องกันสิวเกิดซ้ำ วิธีนี้ก็ใช้ได้ค่ะ โดยช่วงที่ค่อย ๆ ปรับร่างกายให้เข้ากับสิ่งแปลกปลอมรอบตัวแต่ละช่วงก็จะมีสิวขึ้นได้ค่ะ เพราะระบบภายในปรับตัว แต่มันจะค่อย ๆ หายไปได้ค่ะ (จากที่บีมสังเกตตัวเอง)

ตามมาอ่านเลยค่ะและทำความเข้าใจดี ๆ นะคะ ประเด็นนี้สำคัญเหมือนกันค่ะ คำถามดีมาก ต้องขอบคุณน้องที่ถามเข้ามาค่ะ
==========================================================

คำถามที่ 1
หนูสงสัยอีกอย่างว่าถ้าเราร่างกายสะอาดแล้ว  เหมือนเวลาเรารับอะไรที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันก็จะตอบสนองทันที  โดยมีอาการแปลกๆมา  มันเหมือนร่างกายเราอ่อนแอ(แต่จริงๆมันไม่ได้อ่อนแอ)  แต่ทำไมเมื่อร่างกายเราไม่สะอาด  เวลารับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันไม่เห็นมีอะไรเลย คืออยู่ปกติดี มันไม่เห็นแสดงผลเหมือนเวลาร่างกายเราสะอาดเลย  หรือว่ามันก็จะแสดงผลเหมือนกันคะ  แต่ออกฤทธิ์ช้า แล้วไปแสดงผลแบบอื่น พี่บีมอธิบายให้หนูฟังหน่อยนะคะ  

เมื่อก่อนพี่อาจจะตอบคำถามหนูไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่มีคำตอบให้หนูแล้วค่ะ เพราะพี่ผ่านจุดนี้มาละ

หนูต้องลองหาหนังสือ "มาเป็นหมอรักษาตัวเอง" ของหมอเขียวมาอ่านดูค่ะ เพราะรู้สึกพี่เองก็ได้คำตอบมาจากตรงนั้นด้วย ประกอบกับประสบการณ์สุขภาพส่วนตัวค่ะ และยังมีข้อมูลที่ได้มาจากพี่ฉิน เพื่อนใน MB อีกค่ะ ที่นำข้อมูลมาแชร์ให้ฟังหลังจากไปพบแพทย์ทางเลือกค่ะ 

หนูคงสงสัยว่า ในเมื่อดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว ร่างกายสะอาดแต่ทำไมมีอาการแปลกปลอมเร็วใช่ไหมคะ ค่ะ สมมติว่าหนูมีพื้นบ้านสีขาวสะอาดมาก ๆ แล้วพอใช้ไปนาน ๆ สีก็ออกขุ่น ๆ ใช่ไหมคะ เพราะเริ่มสกปรกแล้ว แล้วเวลาหนูมาขัดล้างเขาใหม่ เขาก็กลับมาขาวสะอาด เวลามีรอยเท้าหรืออะไรสกปรกก็จะเห็นง่าย เห็นเร็ว ถูกไหมคะ

ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าหนูไม่ขัดล้างเขาเลย เวลามีอะไรสกปรก ๆ ไปตกใส่เพิ่ม ก็แทบสังเกตไม่เห็นถ้ามันไม่ชัดจริง ๆ ใช่ไหมเอ่ย

ร่างกายคนเราก็แบบนั้นค่ะ แต่แตกต่างตรงที่ว่า ร่างกายของเรามีกลไกทางธรรมชาติที่จะจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและรักษาสมดุลอยู่เสมอ ไม่เหมือนพื้นปกติค่ะที่ไม่มีกลไกเหล่านี้ค่ะ

เมื่อหนูเป็นสิวนั่นคือ พื้นสกปรกมาก ๆ ถึงมากที่สุด จนพื้นขาวเป็นดำชัดเจนเลยค่ะ แล้วหนูก็มาล้างเพื่อให้มันกลับมาขาวอีกครั้ง

คราวนี้เวลามีอะไรที่มาตกใส่ หรือเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันไปเห็นสิ่งแปลกปลอมเข้า เขาจะเข้าไปจัดการได้ทันทีค่ะ จึงทำให้มีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอมเร็วมาก ดังนั้น พี่จึงแนะนำทุกคนว่าช่วงล้างพิษให้หลีกเลี่ยงสิ่งแปลกปลอมทุกอย่างค่ะ เพราะภูมิคุ้มกันจะเร็วกว่าปกติ อาจทำให้การตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมมีมากกว่าปกติได้ค่ะ

คราวนี้สิ่งที่พี่จะแนะนำก็คือ ค่อย ๆ ใส่สิ่งแปลกปลอมให้ภูมิคุ้มกันได้ปรับตัวค่ะ จากระดับ 1 เป็น 2 ไปเรื่อย ๆ จนเราสามารถกิน อยู่ ในภาวะปกติได้เหมือนคนอื่น ๆ ค่ะ แต่มันจะมีอาหารที่มันไม่ถูกกับเราโดยธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ ในคนเป็นสิว ทั่วโลกเลย ต่างก็มีอาการแพ้อาหารประเภทแป้งขาว กลูเทน และอะไรเหมือน ๆ กันค่ะ คนมีแนวโน้มเป็นอะไร รูปแบบกลไกการทำงานของร่างกายก็จะเป็นไปทางที่คล้าย ๆ กันเลยค่ะ 

ดังนั้น พี่จึงแนะนำให้เรารู้เลยว่า เราแพ้อาหารตัวไหน และกินไม่ได้แน่นอนตลอดชีวิตนี้ อย่างพี่คือ นมวัวและทุกอย่างจากวัวและสัตว์ใหญ่ค่ะ ซึ่งหลายครั้งมันเกี่ยวกับเรื่องของกรรมเก่า เรื่องของจิตค่ะ บางคนทำบุญบารมีจากชาติก่อน ๆ มาได้เคยปฏิบัติธรรมขั้นสูง ซึ่งอาจเคยละเว้นการทานเนื้อสัตว์ทั้งหลายและปฏิญาณจะไม่กินอีก พอได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก แล้วไปทานเนื้อสัตว์ ร่างกายก็ต่อต้านได้ค่ะ 

คือเราต้องคิดเสมอว่ามนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ 5 ค่ะ มีกายกับจิตคู่กัน ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลร่างกายนี้แล้ว แต่การทานอาหารบางอย่างยังสร้างปัญหาให้เราและหาคำตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ พี่มองว่ามันเป็นเรื่องของจิตและความผูกพันของจิตต่อบางสิ่งค่ะ ซึ่งพูดประเด็นนี้บางคนอาจไม่เข้าใจ เข้าใจน้อย เข้าใจมาก ตีความต่างไป ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลค่ะ แต่พี่มองเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับแบบนี้ค่ะ จากที่สังเกตตัวเองและหลาย ๆ คนค่ะ

ดังนั้น หาอาหารที่ว่านี้ก่อนค่ะ แล้วไม่ต้องกินหรือกินให้น้อย ถ้ากินแล้วสร้างความทุกข์ให้ร่างกาย ก็ไม่ต้องกินค่ะ ซึ่งมันมีไม่กี่ชนิดค่ะ 

ส่วนอาหารอื่น ๆ ก็ให้ค่อย ๆ ใส่เข้าไปให้ร่างกายค่ะ อย่าให้เข้าไปทีเดียว จาก 2-3 เดือนแรกที่เราเคร่งเรื่องอาหารและล้างพิษ เราก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเริ่มทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนขึ้น หรือแปลกปลอมต่อร่างกายหน่อย ๆ แต่ไม่บ่อย เช่น สัปดาห์ละครั้งก่อน เพื่อให้เขามีเวลากำจัดออกประมาณ 1 สัปดาห์ พอเดือนที่ 2 ก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นต้นค่ะ

แต่สำหรับบางคนเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทางที่สอดคล้องกับธรรมชาติได้มาก กินมังฯ ไปตลอดชีวิตได้ แต่ทานให้หลากหลาย นั่นก็ถือเป็นบุญของเขาค่ะที่ทำได้แบบนั้น แต่มันก็อยู่ที่เราจะเลือกด้วยจ้าว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน เราก็ค่อย ๆ สร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเข้าใกล้ชีวิตแบบที่เราต้องการค่ะ

อันนี้คือพี่ให้ทางแก้ปัญหาไปเลยนะคะ เพราะพี่ก็ทำกับตัวเองแบบนี้ค่ะ ตอนนี้พี่ sensitive กับอาหารบางอย่างเท่าน้ันค่ะ และรู้ว่าถ้ามีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ซึ่งตรงตามข้อมูลธาตุเจ้าเรือนที่น้องเกด (แพทย์แผนไทย) วิเคราะห์ให้พี่ ทุกอย่างจะรวนทันทีค่ะ ก็เป็นงั้นจริงค่ะ พี่ก็ต้องดูแลระบบนี้อย่าให้ติดขัดค่ะ และทานอาหารที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารได้มากขึ้นค่ะ จากเดิมที่ทานแต่อาหารฤทธิ์เย็นค่ะ พี่ก็ปรับค่ะ มันก็ดีขึ้นตามนั้นจริงค่ะ

แต่ช่วงที่เราปรับ ร่างกายอาจจะอิดออด มีสิวขึ้นบ้างอะไรบ้างค่ะ แต่พอเขาปรับได้ระดับหนึ่ง มันก็จะดีขึ้นเองค่ะ แล้วเราก็เพิ่มดีกรีของสิ่งแปลกปลอมเข้าไปค่ะ เพื่อให้ภูมิเราได้ออกกำลัง ได้ทำงาน และแข็งแรงขึ้นค่ะ เหมือนเชื้อโรคที่มันปรับตัวกับยาโดสใหม่ ๆ เสมอ ๆ น่ะค่ะ

สิ่งสำคัญคือ การนอนเร็ว และทำจิตให้ผ่องใสเสมอ ๆ ค่ะ 2 อย่างนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ เพราะการนอนเร็วถือเป็นการล้างพิษประจำวันของร่างกายโดยธรรมชาติ และการทำจิตให้ผ่องใส กำจัดความขุ่นได้เสมอ ๆ ถ้าได้บ่อย ๆ ยิ่งดีค่ะ นั่นคือการล้างพิษจิตใจค่ะ

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมตอนร่างกายไม่สะอาด มันไม่ตอบสนองหรือตอบสนองช้า ก็เพราะพิษมันเยอะไปจนภูมิคุ้มกันเขาไม่รู้จะจัดการอะไรก่อนน่ะค่ะ บางทีก็เสื่อมความสามารถในการแยกแยะไปเลยว่าอะไรคือสิ่งดี อะไรคือสิ่งไม่ดีต่อร่างกายค่ะ นั่นคือธรรมชาติที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ 

ถ้าให้เปรียบเทียบนะคะ สมมติว่าปกติแล้วหนูอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่นิสัยไม่ค่อยจะดี แต่ตอนอยู่ในกลุ่ม หนูมองไม่เห็นสิ่งนั้นค่ะ จนกระทั่งอาจจะได้ลองไปปฏิบัติธรรมหรือไปเจอเพื่อนนิสัยดีมาก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับหนูได้ไปเห็นอะไรที่แตกต่าง ได้ไปล้างความคิดเดิม ๆ รับอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง หนูก็จะเริ่มแยกแยะออกว่า แบบไหนที่เรียกดี แบบไหนเรียกไม่ดี โดยเห็นตามจริงค่ะ หลังจากนั้นหนูก็จะมีทักษะในการเลือกคบคนและเพื่อนมากขึ้นค่ะ

ก็เหมือนร่างกายน่ะค่ะ เมื่อตอนเราไม่ได้ล้างพิษ ความสามารถในการจำแนกของเขาต่ำค่ะ (ภูมิคุ้มกัน) แต่พอเราเริ่มล้างแล้ว เขาก็แยกแยกได้มากขึ้น จัดการกับพิษได้มากขึ้น สมรรถภาพเพิ่มขึ้น แต่เราต้องเป็นคนคอยควบคุมความถี่และปริมาณที่เขาจะได้รับในแต่ละช่วงค่ะ ให้เหมาะกับระดับความสามารถของเขา ยิ่งช่วงล้างพิษหรือหลังล้างพิษ ถ้าไปใส่ของแปลกปลอมเลย ภูมิคุ้มกันก็ทำงานเสียเต็มที่เลยค่ะ คือ Overacting ไปเลย ทำให้อะไรนิดหน่อยก็ขึ้น ก็ไม่สบายค่ะ ต้องค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกค่ะ

คำถามที่ 2
สมมุติว่าเวลาเรารับแต่สิ่งดีๆเข้ามาในร่างกาย  เช่น กินอาหารที่ดี  สิ่งแวดล้อมดี  คือทุกอย่างดีหมด  แล้วเวลาเราเจอเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆ แล้วเราจะจัดการกับมันได้ไหมคะ  ในเมื่อร่างกายเราไม่เคยเจอกับสิ่งไม่ดีเลย แล้วมันจะมีภูมิคุ้มกันมาต่อต้านหรือเปล่าคะ กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ค่อยดูแลร่างกาย  เมื่อเค้าได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป  ร่างกายก็ต้องกำจัดออก  หรือคอยสร้างภูมิคุ้มกันมาต้าน  ถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆเข้ามา  ก็มีแนวโน้มที่จะจัดการง่ายกว่าคนที่รักษาสุขภาพหรือเปล่าคะ

ค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกนะคะน้องกิ่ง จนเขาสามารถรับมือกับพิษประจำวันได้ดี แล้วถึงตอนที่เชื้อโรคใหญ่มา คนไม่เคยล้างพิษ จะทรุดเร็วกว่าคนที่ดูแลตัวเองจนระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้นตามธรรมชาติที่เราช่วยให้เขาปรับค่ะ แต่สำหรับคนที่ดูแลร่างกายตัวเองดี และปรับระดับภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว แม้จะเจอเชื้อโรคใหญ่ ร่างกายจะจัดการได้ดีและเร็วกว่าค่ะ ป่วยและหายเร็วกว่าไม่เรื้อรังค่ะ และไม่ทรุดลงแบบกะทันหันด้วย ที่สำคัญใช้วิชาที่เรียนมาในการดูแลตัวเอง รักษาตัวเองได้เลยค่ะ เหมือนที่พี่ทำเวลาเป็นหวัดค่ะ มันดูเหมือนอาการรุนแรงกว่าคนที่ไม่กินยา แต่เป็นไม่นานค่ะ ไม่เกิน 3-5 วันพี่หายแล้ว แบบไม่ต้องกินยาเลย ใช้สมุนไพร ใช้ธรรมชาติล้วน ๆ ค่ะ ใช้วิถีองค์รวมค่ะ

ไม่เชื่อหนูลองดูเคสคนป่วยสมัยนี้ค่ะ ในกลุ่มที่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือทำงานหนักมานาน ถ้าป่วย เขาจะเป็นเยอะเลย โรคแทรกซ้อนเพียบค่ะ คือ มันแฝงอยู่แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงออกมาค่ะ ในเรื่องนี้หนังสือ "เข็มทิศสุขภาพ" จะอธิบายได้ดีค่ะ หนูลองหามาอ่านดู อยู่บทแรก ๆ เลยค่ะ เขาจะอธิบายถึงกลไกว่าเหตุใดคนที่ทำงานหนัก ๆ พอได้พักแล้วก็จะเริ่มเหมือนไม่สบาย ทำให้เขาเข้าใจผิดว่า ถ้าทำงานแล้วจะแข็งแรง ถ้าไม่ทำงานแล้วจะป่วย ทำให้เขาไม่พักผ่อนและมักไปทำงานต่อค่ะ แต่คนกลุ่มนี้ถ้าป่วยแล้วจะเป็นเยอะค่ะ เห็นดาราหลายคนไหมคะ ที่ทำงานหนักจนเข้าโรงพยาบาล ก็มาจากเหตุนี้ด้วยค่ะ บางคนอยู่ดี ๆ ก็เลือดออกตา ประมาณนี้ค่ะ

สังเกตเยอะ ๆ ค่ะ แล้วน่าจะเห็นเหมือนกันตามนี้ เพราะมันเป็นสัจธรรมค่ะ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

อธิบายแบบนี้หวังว่าจะตอบคำถามของหนูได้ครบนะคะ
พี่บีม ^^

Monday, October 8, 2012

Saturday, October 6, 2012

เพาะกาย เพิ่มกล้ามเนื้อแนวมังสวิรัติและไขมันทรานซ์


https://www.facebook.com/MarryBeam/posts/338533106243184
 

ลิงค์แนะนำ

Q&A ดูแลปัญหาสิวช่วงตั้งครรภ์

จัดไปอีก 1 บทความนะคะ จาก Facebook ค่ะ

https://www.facebook.com/MarryBeam/posts/463249887038735







บีมกับการดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ (ภาคร่างกาย)

มีเพื่อน ๆ หลายคนสอบถามเข้ามาว่าควรดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์อย่างไรดี ทั้งนี้จุดประสงค์คือ ไม่อยากให้เป็นสิวหรือเป็นสิวน้อยที่สุดและมีครรภ์ที่สมบูรณ์พร้อมกันไปด้วย

เพราะหลายคนเลยที่ว่าก่อนจะตั้งครรภ์ จะมีวิธีการกินที่อาจจะจำกัดนู่นนี่กันไป มีการล้างพิษ ทำอะไรได้ตามใจชอบ แต่พอมีอีกชีวิตมาอยู่ในท้องของเราแล้ว จะทำยังไงต่อไปดีล่ะคราวนี้

ก่อนอื่น บีมอยากให้ดูคลิปนี้ของบีมก่อนนะคะ ว่าตัวบีมเองดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง ซึ่งท้องนี้เป็นท้องที่ 2 ค่ะ ก็ 5.5 เดือนแล้ว



และก่อนจะไปต่อ นี่คือรูปที่สิวขึ้นจนแม่หนักใจแทนช่วงแพ้ท้อง 1-3 เดือนแรกค่ะ หนักสุดเดือนที่ 2 กินได้น้อย อยากนอนทั้งวัน ท้องอืด เหม็นอาหาร มีภาวะร้อนเกินอย่างแรง

 

คำอธิบายภาพดูที่นี่นะจ๊ะ


ส่วนอันนี้ผิวปัจจุบันค่ะ


มาสรุปกันเลยนะคะว่าบีมมีแนวทางในการดูแลตัวเองช่วงท้องยังไงบ้าง (ท้องนี้ดูแลแตกต่างจากท้องแรกค่ะ เพราะตั้งใจจะใช้ยา สมุนไพร และอาหารเสริมให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย อยากเน้นธรรมชาติค่ะ)
  1. พยายามทานอาหารให้หลากหลาย ตอนนี้บีมทานได้หมดค่ะ ผัด ทอด ข้าวขาว ที่เคยทานไม่ได้ก็ทานได้ค่ะ สิ่งที่ทานไม่ได้จริงๆ และไม่กินคือ นมวัวและทุกอย่างที่มีส่วนผสมของนมวัวค่ะ ส่วนที่ไม่มีประโยชน์อันใด แต่ทานบ้างบางโอกาส คือ ไอศครีม ส่วนใหญ่จะชอบรสช็อคโกแลตค่ะ แต่พวกขนมถุงจะไม่กินเลย น้ำอัดลมไม่กินค่ะ ของว่างจะชอบทานกล้วยน้ำว้า ผลไม้ตามฤดูกาลที่ไม่หวานไป (เคยอัดเงาะไปหลายมื้อตอนเงาะออก สรุปว่าเป็นร้อนในเลยเพราะมันหวานไปค่ะ) สับปะรด (อันนี้ชอบมาก ไม่รู้เป็นไง) ส่วนนมดื่มนมแอนมัมสูตรนมถั่วเหลืองค่ะ ซื้อมาเยอะเลย (มันขาดตลาดไปช่วงนึงค่ะ ดันขาดตอนแพ้ท้อง ต้องทานแลคตาซอยสูตรถั่วเหลืองแทน) ทานผสม ๆ กันไปค่ะ แต่จะเลือกอาหารสดจากธรรมชาติมากกว่า และพยายามจะดื่มน้ำปั่นผักผลไม้ น้ำคั้นผักผลไม้ให้ได้อย่างสม่ำเสมอ และถ้ามีโอกาสก็จะได้ดื่มน้ำมะพร้าวสดค่ะ ดีมาก ๆ เลย

  2. ป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งอันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวและสิ่งที่บีมค้นคว้ามานะคะ คือ บีมทานน้ำสกัดโปรไบโอติกส์ (probiotics) ที่มีผลงานวิจัยรับรองมาแล้วว่าคัดสายพันธุ์ที่ปลอดภัย สอบถามมาหลายรอบจนมั่นใจว่าคนท้องทานได้ค่ะ บีมทานเพื่อเติมจุลินทรีย์ในลำไส้อยู่ 2 สัปดาห์ แล้วก็หยุดไปค่ะ ไม่ได้ทานอีก แต่หลังจากนั้นบีมก็ทานผักผลไม้ให้ได้ทุกวันค่ะ ตอนนี้ได้สูตรจากพี่ญาตาเพิ่มคือ เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชาผสมน้ำอุ่น ๆ 1 แก้ว ดื่มทุกวันก่อนนอน และมีสูตรสับปะรดปั่น เอาทั้งเนื้อและแกนผสมใบโหระพานิดนึงค่ะ ปั่นรวมกันแล้วคั้นแต่น้ำดื่ม ช่วยเพิ่มเลือด ระบายขับถ่ายค่ะ และอีกสูตรสำหรับบำรุงกำลังและผิวพรรณคือ กระชาย น้ำผึ้ง มะนาว สัดส่วนตามใจชอบค่ะ มาถึงตอนนี้บีมยังไม่มีอาการท้องผูกใด ๆ ค่ะ ขับถ่ายวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อยเกือบทุกวันเลยค่ะ

  3. นอนหลับให้ได้สนิททั้งคืนถึงเช้า (มีบางทีต้องตื่นมาเคลียร์งานเหมือนกันค่ะ เพราะมันมี Deadline ทำตอนกลางวันไม่ได้จริง ๆ เพราะงานเยอะและต้องเลี้ยงแคนดี้ด้วยค่ะ) และหลับช่วงบ่ายให้ได้ 1-2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย (หลับพร้อมแคนดี้) ก็ฟังเสียงร่างกายน่ะค่ะ เขาอยากพักเมื่อไหร่ก็พักเลย มีบ้างที่ต้องฝืนบ้าง แต่จะพยายามไม่ฝืนค่ะ ส่วนใหญ่ที่ต้องฝืนก็เรื่องงานทั้งนั้นค่ะ ดังนั้น ช่วงนี้จนถึงคลอด แบบว่าขอความเห็นใจนิดนึงนะคะ ^^ บีมก็อยากให้ลูกแข็งแรงเหมือนกันจ้า

  4. จิตใจ อันนี้สำคัญค่ะ คนท้องจะกังวลเยอะแถมแปรปรวนง่าย ยิ่งแคนดี้ของบีมอยู่ในวัย "ไม่" และซนมาก บางทีก็อารมณ์ขึ้นค่ะ แต่พอเราได้พักผ่อน ได้ฝึกสติ ได้นั่งสมาธิสงบจิตสงบใจบ้าง ไปทำบุญบ้าง สวดมนต์บ้าง ก็จะช่วยได้เยอะค่ะ แต่บีมเชื่อว่า แม้ไม่ได้ดู "เป็นต่อ" เหมือนท้องที่แล้ว แต่ลูกท้องนี้ก็คงสุขสำราญใจไม่แพ้กันค่ะ เพราะแคนดี้ก็ชอบทำให้พวกเราหัวเราะได้บ่อย ๆ เหมือนกัน ^^

  5. อาหารเสริม จริง ๆ ก็จะมียาบำรุงที่คุณหมอให้มานะคะ เสริมแคลเซียม CDR และก็วิตามินบำรุงแค่นั้นค่ะ ส่วนอื่น ๆ คือ เชื่อว่าทานแล้วดี เพราะท้องที่แล้วก็ทานค่ะ (เป็นความเชื่อส่วนตัวนะคะ ไม่ต้องเชื่อตามบีมก็ได้ค่ะ) น้ำมันปลาก็ทานอยู่ช่วงเดือนแรก ๆ  แต่พักไปเพราะเคยเห็นบทความคุณหนูดีเขียนว่าถ้าจะทานให้ทานตัวที่ไม่มีวิตามินอีน่ะค่ะ เพราะมันสะสม บีมไปดูฉลากมันมีวิตอีน่ะค่ะ เลยพักก่อน ไปกินปลาแทนค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงไปเลือกหาที่ไม่มีวิตอีดูอีกรอบค่ะ และก็มีผงโปรตีนที่เอามาเช็คกับผงอีก 2 ตัว ก็ถ้ามีของก็วันละครั้งค่ะ ช่วงนี้ของหมด ยังไม่ได้ไปซื้อ แต่ไม่ซีเรียสค่ะ ก็กำลังหาข้อมูลโปรตีนจากธรรมชาติที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์มาทดแทนอยู่ และตอนนี้เขาปรับสูตรมีส่วนผสมของข้าวสาลีด้วยมั้งนะคะ...เป็นตัวที่บีมน่าจะแพ้ เลยไม่ค่อยมั่นใจที่จะกินต่อค่ะ แต่ใครกินได้ก็กินไปนะคะ อันนี้ความเชื่อของใครของมันค่ะ เพราะบีมก็ยังไม่เจอข้อมูลวิจัยทางการแพทย์มาสนับสนุนค่ะ ใครเจอก็มาแชร์ข้อมูลกันบ้างนะคะ ^^

    ส่วนอื่น ๆ ก็คงจะไม่ใช่อาหารเสริมค่ะ จะเป็นพวกน้ำมันมะพร้าวที่ทานเพิ่มภูมิต้านทาน ช่วยในการระบายของเสียจากลำไส้ค่ะ (วันไหนที่ถ่ายไม่ออกซะงั้น) และมีน้ำย่านางค่ะที่ทานบ้างช่วงที่มีภาวะร้อนเกินมากไปค่ะ
หลัก ๆ ก็มีประมาณนี้ล่ะค่ะ ส่วนสิวช่วงแพ้ท้อง ก็หายไปเองค่ะ เหมือนท้องที่แล้วเลย ไว้ไปติดตามกันต่อในบทความหน้าที่บีมจะมาบอกว่าบีมดูแลผิวหน้าช่วงท้องอย่างไรบ้างนะคะ ตอนนี้หน้าใสขึ้นเยอะเลยค่ะ เหลือแต่ร่องรอยที่ต้องกำจัดด้วยเลเซอร์เท่านั้นแล้วล่ะค่ะ แต่เอาไว้ก่อน ไว้หลังปิดนมลูกค่อยมาว่ากันใหม่ค่ะ ตอนนี้พอใจมากมายแล้วล่ะ...สำหรับตัวบีมเองนะ

ขอให้ว่าที่คุณแม่และคุณแม่ทั้งหลายมีสุขภาพดีพร้อมครรภ์ที่สมบูรณ์นะคะ
บีม

ป.ล. คนที่ดูแลตัวเองมานานก่อนจะเป็นแม่คน คนที่รักษาสิวหรือดูแลสุขภาพตามแนวทางธรรมชาติบำบัด บีมเชื่อว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีปัญหาสิวหรือมีปัญหาสิวและสุขภาพน้อยกว่าคนที่ไม่เคยทำค่ะ ดังนั้น ถ้าคิดจะเป็นแม่คนแล้ว...ก็คิดเผื่อไว้เลยค่ะว่า จะรักษาสิวพร้อมดูแลรักษาร่างกายเพื่อลูกน้อยที่แข็งแรงในอนาคตด้วยค่ะ :) จะได้มีกำลังใจในการดูแลตัวเองค่ะ เพราะธรรมชาติรักษาได้ทุกอย่างค่ะ แต่...สำหรับคนที่ยังมีพลังชีวิตและอวัยวะภายในไม่บอบช้ำมากเกินไปเท่านั้นค่ะ และสำหรับคนที่เชื่อในปาฏิหาริย์ค่ะ...

ฝากรูปน้องแคนดี้ ลูกสาวคนแรก ตอนนี้จะ 2 ขวบค่ะ ดูแลเรื่องอาหาร การเล่น การนอนเป็นอย่างดีที่สุดค่า เขาจะไม่ค่อยร้องกินขนมทั่วไปค่ะ เขาจะชอบผลไม้ กินบร็อคโคลี่ได้ กินเซเลอรี่สด ๆ ได้ค่ะ เขาจะเป็นเหมือนเราตอนที่เราคิด พูด ทำ ตอนท้องประมาณ 80% นะคะ ที่เหลือเป็นจิตเดิมของเขาที่สั่งสมมาค่ะ ดังนั้น การดูแลจิตใจให้สะอาด สว่าง สงบ บีมเชื่อว่าจะทำให้ท้องของเราเป็นที่จุติของเทวดาและนางฟ้าน้อย ๆ ที่มีศีลพร้อมตั้งแต่ชาติก่อนค่ะ... :)

Q&A เหตุใดช่วงนี้คนจึงเป็นสิวอุดตันเยอะ

Wednesday, October 3, 2012

ตอบคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการทานวิตามิน




ส่วนตัวบีมยังไม่เคยอ่านเล่มนี้นะคะ "วิตามินไบเบิ้ล" แต่เห็นเพื่อน ๆ ที่เคยอ่านบอกว่าดีมากค่ะ ละเอียดมากเกี่ยวกับวิตามิน ยังไงลองไปซื้อมาอ่านดูค่ะ



http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9786165290166&CategoryId=633

มีคอมเม้นต์หลังอ่านยังไงก็มาแชร์กันที่ www.facebook.com/marrybeam นะคะ

กัวซาผิวหน้าด้วยแผ่นหยกช่วยกระตุ้นเลือดลมที่ผิว


เนื่องจากอัดวิดีโอไม่ได้ดั่งใจ ภาพและเสียงไม่ชัด บีมเลยขอถ่ายภาพนิ่งให้ดูกันอีกรอบนะคะ ไว้ขอแก้ตัวเรื่องวิดีโอใหม่ดีกว่า :)

รูปนี้ถ่ายเช้าวันที่ 4 ต.ค. 55 ค่ะ ตื่นมาตี 4 กว่า ๆ ก็ถ่ายเลย เพราะมาส่องกระจกดู (คือกระจกมันอยู่หน้าบันไดน่ะค่ะ ไม่ตั้งใจส่อง ก็ต้องเห็นอยู่ดี) คิดว่าชอบผิวตัวเองมากค่ะ พอใจมากกับผิวตอนนี้ ไม่มีความมันเยิ้มหลังตื่นนอนเหมือนสมัยก่อนเลย ผิวดูสุขภาพดีมาก ๆ เลยอยากถ่ายรูปอัพไว

้และเอามาฝากกันน่ะค่ะ แต่กล้องเจ้ากรรมของยี่ห้อ S ซึ่งบีมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ถ่ายออกมาไม่ค่อยชัด คงเพราะความสามารถด้านกล้องไม่ค่อยมีน่ะค่ะ ไว้จะไปซื้ออีกยี่ห้อที่ชัดกว่านี้มาอีกทีนะคะ ทำงานด้านผิวต้องมีกล้องชัด ๆ สักหน่อย

แต่โดยสรุปคือ บีมพอใจผิวตัวเอง อยากอัพให้ดูเป็นกำลังใจทั้งในคนท้องและไม่ท้องน่ะค่ะ ว่าผิวดี ๆ มันสร้างขึ้นเองได้ ถ้าเรารู้จักวิธีดูแลตัวเองและดูแลให้สอดคล้องกับธรรมชาติของร่างกายค่ะ

ผิวนี้คือไม่ล้างหน้าเลยนะคะ ไม่ทำอะไรเลย จะเห็นว่าจากรูปเดิมที่เคยอัพตอนแพ้ท้อง ตอนนี้บีมจะเหลือรอยแค่ที่แถวแก้ม กราม คอ

ที่แก้มนี่เป็นหลุมน้อย ๆ ค่ะ ต้องไปทำเลเซอร์เท่านั้นล่ะค่ะ ไว้ก่อนค่ะ หลังให้นมลูกแล้ว ปิดนมแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ ^^

ถ้า Make up เป็นนี่จะหน้าใสมาก ๆ เลย คงไม่เห็นอะไรเลยน่ะค่ะ

และที่สำคัญคือ อยากมาแนะนำหยกกัวซาหน้าค่ะ บีมสั่งมาจากร้านคุณรพีโพธิที่น้องนุชาเคยโพสต์ลิงค์เอาไว้ที่หน้าเพจเขา และบีมสนใจ เพราะตอนท้องบีมจะไม่ใช้ตัวลบรอยเลยค่ะ บีมเลยต้องหาวิธีอื่นค่ะ ซึ่งส่วนตัวบีมชอบการกัวซาอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่ามันทำง่่าย ได้ผลจริงค่ะ แต่ยังไม่เคยทำกับหน้า

จริง ๆ เคยทำมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ปี 2552 ที่เริ่มรักษาสิวด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นยังไม่เชี่ยวชาญและยังมีสิวอักเสบอยู่ เลยคิดว่าทำไม่ค่อยได้ผลอะไรน่ะค่ะ คือ ไม่มีความรู้ แค่ทำตามหน้าเว็บค่ะ

แต่ตอนนี้ทำกัวซาจนคิดว่าตัวเองมั่นใจแล้วค่ะ ยิ่งไปคอร์สพี่ญาตา เห็นของหลาย ๆคนยิ่งชัดเจนว่ากัวซามันดีจริง ๆ

ตอนท้องนี้เลยอยากรักษารอยด้วยการกัวซาหน้าด้วยแผ่นหยกกับน้ำมันกัวซาดูค่ะ

บีมสั่งซื้อมา 3 ตัว คือ แผ่นหยก น้ำมันกัวซา (กลิ่นเป็นน้ำมันงานะคะ) และน้ำมันหน้าเด้ง (แน่ะ ^^ ก็อยากสวยบ้างนะคะ) สอบถามทางผู้ขายแล้วค่ะ เขาบอกว่าคนท้องใช้ได้ค่ะ ไม่เป็นอะไร

แต่เมื่อคืนบีมเริ่มใช้น้ำมันงาค่ะ คือ ล้างหน้าตอนเย็นเสร็จ บีมไปเล่นกับ Candy ประมาณ 15 นาที แล้วตอนไปอาบน้ำก็เอาไปด้วยค่ะ คือน้ำมันงาในขวดที่เห็นในรูปกับแผ่นหยก แล้วก็ขูดตามแนวที่เขาแนะนำไว้ในแผ่นเอกสาร ซึ่งบีมไม่ขอเขียนให้นะคะ เพราะเป็นลิขสิทธิ์ของเขาน่ะค่ะ แต่เขาจะมีใบแบบนี้แนบมาให้ทุกคนล่ะค่ะ หรือหน้าเว็บอาจจะมีแต่บีมไม่เห็น ^^

ตอนทำผิวจะแดงขึ้น ร้อนผ่าว ๆ ค่ะ ซึ่งรู้สึกเลยว่าเลือดลมหมุนเวียน บนหน้า ชอบความรู้สึกนั้นมาก ๆ ค่ะ แล้วพอทำเสร็จบีมก็ใช้ Acne Aid Liquid Cleanser ของบีมเองล้างออกค่ะ แค่รอบเดียวก็รู้สึกสะอาดแล้ว ซึ่งพอมีน้ำมันที่เราทำกัวซาเอาไว้ก่อนล้าง ล้างเสร็จก็รู้สึกนุ่มชุ่มชื้นค่ะ แล้วแก้มจะแดง ๆ ดูผิวสุขภาพดีมาก ๆ (ชอบ)

แล้วบีมก็ไม่ได้ทาบำรุงอะไรต่อ อยากรู้ว่าเช้าต่อไปจะเป็นอย่างไรค่ะ ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ

เขาให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งค่ะ ครั้งละ 10-20 นาที

ปกติแล้วการกัวซาจะใช้กับผิวที่ไม่อักเสบและเป็นแผลเปิดค่ะ ไม่มีการติดเชื้อใด ๆ ดังนั้น บีมมองว่า การใช้น้ำมันและหยกกัวซานี้เป็นทางเลือกในการช่วยให้ผิวฟื้นฟูตัวเองเร็วขึ้นจากการที่ผิวได้ระบายความร้อนออกไป (หยกมีฤทธิ์เย็น ดูดซับความร้อนค่ะ เขาว่างั้นน้า) และก็ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดีค่ะ การที่เลือดลมหมุนเวียนดีขึ้นก็จะทำให้เซลล์คายของเสียและพิษตกค้างได้มากขึ้นและรับสารอาหารจากเลือดได้เพิ่มขึ้นค่ะ จึงทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวดีขึ้นนั่นเอง และบีมเชื่อว่ามันจะช่วยให้รอยจางเร็วนะคะ ด้วยตรรกะของกระบวนการรักษาผิวตามธรรมชาติค่ะ

ซึ่งหากใช้วิธีนี้ประกอบการดูแลตัวเองจากภายในและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อผิวของเราอย่างถูกวิธี บีมเชื่อว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีระดับหนึ่งโดยยังไม่ต้องพึ่งวิทยาการใด ๆ ค่า

ยังไงก็ทดลองดูนะคะ แล้วมาบอกเล่าเก้าสิบกันค่า
บีม

รักษารอยแดงจากสิวด้วยวิธีประหยัด