บีมตอบอีเมลผู้สนใจท่านหนึ่งค่ะ ซึ่งบีมมองว่าเป็นคำถามที่ดีและคนที่รักษาสิวน่าจะมีคำถามนี้ในใจด้วย
ปัญหา: ด้านล่างนี้เป็นอีเมลฉบับแรกที่บีมได้รับมาจากท่านนี้ค่ะ แต่เราก็ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มไป และขอรูปด้วยค่ะ (แต่บีมขอไม่เผยแพร่รูปค่ะ ขอนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็พอค่ะ) ทำให้บีมมีข้อมูลมากขึ้นในการช่วยวิเคราะห์ปัญหานะคะ
เป็นสิวเรื้อรังมานานกว่า 20 ปี ช่วงที่หาหมอก็ดีขึ้น หยุดหาหมอก็หน้าเละ
อ่านหนังสือคุณบีมและทำตามได้ 3 เดือน หน้าดีขึ้น แต่มีปัญหาเหงื่อออกมาก เหนื่อยง่ายค่ะ
ไปตรวจเลือดพบว่า เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กลง ทำให้ขนส่งออกซิเจนได้น้อยลง...คุณหมอบอกว่าต้องกินเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนจำเป็นต่อการสร้ างเม็ดเลือด
จึงต้องกลับมากินเนื้อสัตว์อีกครั้ง ประกอบกับใกล้สอบ นอนดึก
ตอนนี้หน้าเละอีกรอบแล้วค่ะ
เฮ้อ!!! หาจุดสมดุลให้ตัวเองไใม่ได้จริง ๆ ค่ะ ว่าควรจะปรับอาหารอย่างไร ให้หน้าไม่ full of acne ขนาดนี้ และไม่มีปัญหาเม็ดเลือด ><'
รู้สึกเคว้ง รู้จุดหมายปลายทางว่าเราต้องการอะไร แต่ไม่รู้จะใช้เส้นทางไหน เดินทางไปด้วยพาหนะอะไร จึงจะดีที่สุด ....
ขอคำแนะนำด้วยนะค่ะ
ส่วนด้านล่างนี้ เป็นคำถามที่ส่งมาสอบถามในแบบฟอร์มขอรับคำปรึกษาค่ะ บีมก็ตอบไปตามนี้นะคะ
****************************************************************
- การกินงาดำ ช่วยทดแทนโปรตีนให้ร่างกายได้ หรือไม่
บีมคิดว่าพี่ปออาจจะได้ ลองหาข้อมูลมาบ้างแล้วนะคะ เพราะด้วยอาชีพนักวิจัยน่าจะเป็ นคนหาข้อมูลหรือหาคำตอบให้ตั วเองเก่งค่ะ แต่บีมขอเสนอข้อมูลไป 2 ลิงค์นะคะ ที่บีมคิดว่าจะพอช่วยตอบคำถามพี่ปอได้
ลิงค์แรก เป็นข้อมูลที่บีมอ่านเกี่ยวกั บงาดำแล้วมีข้อมูลที่เกี่ยวข้ องกับคำถามดังนี้ค่ะ
2. งา นอกจากจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังมีโปรตีนอีกถึง 20 % โปรตีนของคนเราประกอบด้ วยกรดอะมิโนประมาณ 22 ชนิด แต่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่ างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องอาศัยจากการกินอาหารมีอยู่ 9 ชนิด ซึ่งมีอยู่ในถั่วเกือบครบถ้วน จะขาดแต่กรดอะมิโนจำเป็นตัวหนึ่ ง ชื่อ เมทไธโอนีน ( AMINO METHIONINE ) ที่มีอยู่น้อยไม่พอเพียงแต่กลั บมีมากในเมล็ดงา ดังนั้นถ้ากินถั่วพร้อมกับงาก็ จะได้โปรตีนครบถ้วน
ส่วนอีกเว็บ มีข้อมูลนี้เสริมค่ะ
งา เนื้อคู่ของถั่วสำหรับงา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่ มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็ มที่
ประกอบกับข้อมูลที่บีมได้ มาจากพี่วิทยากรที่เขาเป็นหมอพื ้นเมืองของ อ.พาน ซึ่งบีมเคยถามเขาในเรื่องโปรตี นในอาหารค่ะว่า ถ้าบีมเลี้ยงลูกแต่ไม่อยากให้กิ นเนื้อสัตว์ จะทำอย่างไรให้เขาได้โปรตี นครบค่ะ เขาบอกว่า จริง ๆ แล้วคนเราน่ะ ข้าว ถั่ว งา ผักผลไม้ ก็ได้ครบหมู่แล้วค่ะ
และข้อมูลจากหนังสือ อึส่องโรค ของคุณหมอบรรจบแห่งบัลวีเองก็ สอดคล้องกันค่ะ อยากแนะนำให้พี่ปอหาอ่านเพิ่ มด้วยน่ะค่ะ
คือ แบบนี้ค่ะ โปรตีนในเนื้อสัตว์จะให้อะมิ โนแบบสมบูรณ์ แต่ในถั่วงาและพืชผักแม้จะมี โปรตีนแต่ไม่สมบูรณ์ค่ะ
ถ้าในคนที่ระบบย่อยอาหารดี สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้ดีกว่า (แต่โดยสรีระและวิวั ฒนาการของมนุษย์เรา ร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ ทานเนื้อสัตว์ค่ะ จึงเหลือตกค้างเป็นพิษเยอะ) เขาก็จะได้รับอะมิโนครบถ้ วนจากการทานเนื้อสัตว์ได้ค่ะ
แต่ถ้าในวงการคนเพาะกายแบบมั งสวิรัติ (บีมเคยมีลูกค้าเพาะกายค่ะ เขาเคยส่งลิงค์นักเพาะกายที่ไม่ ทานเนื้อค่ะ คือเป็นมังฯ เลย กล้ามขึ้นเหมือนกันค่ะ ยังไงพี่ปอลองหาข้อมูลดูได้ นะคะ บีมทำลิงค์หายไปแล้วน่ะจ๊ะ) ของฝรั่งก็ได้ค่ะ พวกนี้ข้อมูลโภชนาการเขาจะเป๊ ะมาก ชั่งกิโล ชั่งตาชั่งกินกันเลยทีเดียวค่ะ เขาก็จะกินข้าวกล้อง ถั่ว งา นี่ล่ะค่ะ เต้าหู้ ไข่ไก่ (สำหรับคนไม่เคร่งเท่าไหร่)
จริง ๆ แล้วถ้าไข่ได้มาจากไก่ที่เลี้ ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช่ระบบอุตสาหกรรม จะไม่มีปัญหาค่ะ แต่เนื้อสัตว์และไข่สมัยนี้ โดนฮอร์โมนไปเต็ม ๆ ผลก็คือสิวที่ตามมานี่ด้วยค่ะ
บีมยังพูดไม่จบเนอะ คือ ในข้าวกล้อง ถั่ว งา พืช ผัก นั้นเป็นอาหารที่แท้ของมนุษย์ค่ ะ (อ้างอิงจากหนังสือ พิชิตโรคร้ายโดยไม่ใช้ยา ของคุณหมอบุญชัย http://www.se- ed.com/eshop/Products/Detail. aspx?No=9789743503337) บีมเคยทำคลิปรีวิวเอาไว้น่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าพี่ปอเคยดูหรือยั ง แต่เวอร์ชั่นนั้นดูงง ๆ หน่อยค่ะ เพราะบีมเบลอ ๆ) ร่างกายเราจะย่อยพวกนี้ได้สมบู รณ์กว่า (ถ้าระบบย่อยสะอาดและสมดุลนะคะ) และสามารถนำสารอาหารมาใช้ได้ มากกว่าค่ะ คือ ย่อยก็เหมือนบดละเอียด ยิ่งละเอียดมาก เรายิ่งได้สารอาหารมากค่ะ ส่วนที่ย่อยไม่ได้ก็จะเป็ นใยอาหารช่วยกวาดสิ่งสกปรกทิ้ งไปค่ะ คือ พวกนี้เขามีครบเลยที่เราต้องการ
นอกจากถั่วงาแล้ว ข้าวกล้องก็โปรตีนสูงนะคะ คือ กินพวกนี้ก็ไม่ต้องกลัวขาดโปรตี นน่ะค่ะ แต่แค่ต้องกินให้หลากหลายขึ้น
ส่วนวิตามินที่อาจจะขาดคือ บี 12 ค่ะ สำหรับคนไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่คุณหมอบรรจบบอกว่าในน้ำปลามี วิตามินตัวนี้ค่ะ (จากหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ)
****************************************************************
- หากไม่กินเนื้อสัตว์เลย จะปรับพฤติกรรมอย่างไรหรือปรั บอาหารแบบไหนให้ร่างกายยังมี กรดอะมิโนเพียงพอต่อการใช้ งานของร่างกาย
ตามที่แนะนำเลยจ้า ถ้าไม่สะดวก แนะนำให้ชงผงถั่วเหลืองดอยคำหรื อนิวทริไลท์โปรตีนทานค่ะ อย่างบีมตอนท้องนี่ บีมไม่ค่อยอยากทานเนื้อสัตว์ค่ะ นอกจากปลากับกุ้ง แต่ถ้าที่บ้านเขาทำไก่ ทำหมู บีมก็กินได้ค่ะ แต่ไก่นี่สิวจะขึ้นเร็วมาก ฮอร์โมนสูงกระฉูด ยิ่งถ้าทอดไม่ต้องพูดถึงค่ะ และร่างกายบีมจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการกำจัดฮอร์โมนส่วนเกินนี ้ออกมาค่ะ เลยเป็นสิวไม่เกิน 3-4 วัน แล้วมันจะยุบไปเองแบบไม่ต้ องทายาเลยค่ะ แต่ถ้าทาหรือใช้มาส์กช่วย มันจะยุบเร็วขึ้นค่ะ (แต่บีมชอบทดลองน่ะค่ะ ว่าอันไหนสิวขับ ถ้าขับจริงก็จะยุบได้เอง มันก็เป็นเช่นนั้นจริงจ้า) บีมก็เกรงว่าจะรับโปรตีนไม่พอ แต่จากท้องที่แล้ว บีมพบว่าบีมทานอาหารน้อยกว่าท้ องนี้และเนื้อสัตว์แตะไม่ มากเลยค่ะ แทบไม่กินเลยล่ะ แต่อาศัยเจ้าผงโปรตีนนิวทริไลท์ ค่ะ ทานวันละอย่างน้อย 1-2 ช้อนค่ะ ก็กินจนคลอดค่ะ และก็ดื่มนมแอนมัมสูตรถั่วเหลื องค่ะ เพราะแพ้นมวัวเต็ม ๆ ดื่มสลับกับแลคตาซอยสูตรปกติค่ะ น้องก็แข็งแรงดีค่ะมาโดยตลอดค่ะ
ส่วนอาหารที่เขากิน ส่วนใหญ่เราก็ให้กินเป็นผัก ซุป เต้าหู้ค่ะ พ่อเขากับยายเขามีให้กินไก่บ้าง แต่ไม่บ่อยค่ะ แต่เขาจะยังกินนมวัวสูตร HA อยู่ค่ะ สูตรสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัว คือ ถ้าเราแพ้ ร่างกายก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี น่ะค่ะ น้องแคนดี้ตอนแพ้ก็ตอนอายุไม่กี ่เดือน มีสิวหัวขาวกับหัวแดงเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเหมือนผู้ใหญ่เลย จากผิวหน้าลามไปที่หัวกับหู บีมเลยให้เลิกกินนมสูตรปกติ เลยค่ะ คือ บีมมองว่าเรากินอะไรแล้วร่ างกายไม่รับ ก็ยังไม่ควรทานค่ะ แต่เราค่อย ๆ ใส่ให้เขาดูได้เป็นระยะ ๆ เพื่อทดสอบระดับภูมิคุ้มกั นของเราค่ะ แต่ของบางอย่างเราก็กินไม่ได้ เลยจริง ๆ ก็มีค่ะ โดยเฉพาะเคสพี่ปอที่ดื่มนมวั วมานานมาก ๆ และมีประวัติการทานยารักษาสิ วมานานมากเหมือนกันค่ะ ดังนั้น การที่พี่เลือกรักษาด้วยวิธี ธรรมชาติแล้วสิวลง แต่บีมสันนิษฐานว่าพี่ยังไม่ได้ ล้างลำไส้ ล้างตับ อะไรอย่างเต็มที่ เมื่อเราทานเนื้อสัตว์ประกอบกั บนอนดึก ย่อมทำให้ร่างกายขับพิษซึ่งมี ตกค้างอยู่แล้วและของใหม่ที่รั บเข้าไปออกได้เร็วขึ้นค่ะ ก็จะเป็นอย่างที่พี่ปอเห็ นตอนนี้เลย
ส่วนอาหารที่เขากิน ส่วนใหญ่เราก็ให้กินเป็นผัก ซุป เต้าหู้ค่ะ พ่อเขากับยายเขามีให้กินไก่บ้าง แต่ไม่บ่อยค่ะ แต่เขาจะยังกินนมวัวสูตร HA อยู่ค่ะ สูตรสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัว คือ ถ้าเราแพ้ ร่างกายก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่างนะคะ ในหนังสือ "นม...มัจจุราชเงียบ" ก็ได้อธิบายค่ะว่านมวัวเป็ นสาเหตุของโรคเลือดจางด้วยค่ะ พี่ปออาจลองหามาศึกษาอีกเล่ มนะคะ
ส่วนบางทฤษฎีเช่นกรุ๊ปเลือดก็ บอกว่า ถ้ากรุ๊ปโอ จำเป็นต้องได้รับเนื้อสัตว์บ้ างค่ะ บีมเคยอ่านเรื่องราวของลู กมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แล้วหันเข้ามาหาพุทธนิกายเซน ในตอนที่ปฏิบัติทานมังฯ ค่ะ แล้วร่างกายอ่อนแอ จึงจำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์อย่ างน้อยสัปดาห์ละครั้งค่ะ เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่นิยมที่จะทาน แต่ด้วยสภาพร่างกายบังคับให้ต้ องทาน เขาก็ต้องทำน่ะค่ะ แต่กินในปริมาณน้อยสุดที่ จะทำให้ร่างกายคงสภาพแข็ งแรงสมบูรณ์ค่ะ มันก็จะพอดี ๆ ไม่มากไปทำให้เกิดโรคค่ะ
ดังนั้น ตอนนี้พี่ปอลองปรับศูนย์ใหม่ ค่ะ ถ้าปัญหาคือการขาดโปรตีน เราก็หาแหล่งโปรตีนอื่นทดแทนค่ะ ข้าว ถั่ว งา ทานปริมาณที่มากพอ และอาจทานผงโปรตีนเสริมวันละ 1-2 แก้ว แล้วลองทานอาหารประเภทซุปใส เติมของอุ่น ๆ ให้ร่างกายเสมอ ๆ ค่ะ เราอาจทำงานในห้องแอร์ด้วยหรื อเปล่า และช่วงที่รักษาตัวเองที่ผ่ านมาทานแต่ของฤทธิ์เย็นหรือไม่ ค่ะ จึงทำให้เราซีดลงด้วยค่ะ คือ อาจลองหาน้ำขิงที่ไม่หวานมากดน้ ำใส่แล้วดื่มระหว่างทำงานไปได้ ค่ะ (ถ้าทำในห้องแอร์นะคะ)
นอกจากนี้ การที่ร่างกายนอนดึกเกินกว่า 3 ทุ่ม ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและพิการ (บีมใช้คำว่าพิการนะคะ คือมันจะไม่เต็มค่ะ ขาด ๆ วิ่น ๆ
https://www.facebook.com/ photo.php?fbid= 296964480333944&set=a. 190535454310181.45543. 130285043668556&type=3&theater ซึ่งข้อมูลนี้บีมน่าจะได้ มาจากบทความของแพทย์แผนไทยหรื อทางเลือกค่ะ นานแล้ว บีมก็จำไม่ได้ว่าท่านไหน แต่จำได้ว่าส่งผลต่อเม็ดเลื อดแดงแน่นอนค่ะ คือ ถ้านอนดึกไปนาน ๆ จะมีผลทำให้เลือดจางค่ะ
ดังนั้น บีมมองว่าปัญหาผิวซีดและเม็ดเลื อดของพี่ปอมีหลายปัจจัยค่ะ คือ
- ภาวะเลือดจางสะสมที่เกิ
ดจากการดื่มนมวัวมานานมาก - การนอนดึกติดต่อกัน
- การไม่ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ
- ระบบหมุนเวียนเลือดลมที่ไม่ทั่
วถึง - การไม่ได้รับเนื้อสัตว์ (ถ้าเหมือนกับเคสของลู
กมหาเศรษฐีแล้วล่ะก็ พี่ปอคงต้องทานน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวเราค่อย ๆ คัดกรองไปทีละอันนะคะ คือ ลองปรับแก้ที่อาหารดูก่อน ลองไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วทานข้าว ถั่ว งา มาก ๆ
ลองดูที่เว็บนี้นะคะ คุณหมอแนะนำให้ลองห่อข้าวไปทานเองค่ะ ตามนี้เลย ไล่ลงไปดูที่เขาคุยกันล่ างบทความค่ะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid= 490313047646369&set=a. 490313024313038.117546. 347954361882239&type=3&theater
****************************************************************
- ร่างกายเราทราบได้อย่างไรว่ าตอนนี้ 3 ทุ่ม.....หากเรานอนเที่ยงคืนทุ กวัน ร่างกายจะสามารถปรับให้สมดุ ลในการนอนแบบนี้ได้หรือไม่
ร่างกายมีระบบที่เรียกว่า biological clock ค่ะ บีมแนะนำให้พี่ปอค้นใน Google ด้วยคำว่า "นาฬิกาชีวิต หมอชาวบ้าน" นะคะ อ่านแล้วจะเข้าใจว่าร่ างกายเขาทราบได้อย่างไรว่ าเวลาไหนต้องทำอะไรค่ะ มันเป็นไปตามธรรมชาติค่ะ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เราก็ตื่น ดวงจันทร์ขึ้น เราก็ต้องพักน่ะค่ะ ต้องมองอะไรธรรมดา ๆ แล้วจะเข้าใจค่ะ
ถ้าเรานอนเที่ยงคืนทุกวัน เราก็จะมีนาฬิกาปรับเวลานอนเป็ นเที่ยงคืนค่ะ การจะปรับมานอน 3 ทุ่มก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ทำได้ค่ะ
อย่างบีมเองนะคะ ก่อนท้องท้องนี้ บีมต้องเอาลูกนอนประมาณ 3 ทุ่ม แล้วจะเหนื่อยค่ะ ต้องนอนไปกับเขาเลย และบีมจะตื่นมาทำงานประมาณตี 2-ตี 4 ทุกคืน แต่พอท้องแล้ว บีมก็ต้องปรับเวลาค่ะ เพราะเราต้องนอนให้ได้ทั้งคื นแล้วมาตื่นตอนเช้าเอาค่ะ ช่วงแรก ๆ ประมาณสัปดาห์กว่า ๆ - 2 สัปดาห์ บีมก็ยังตื่นมาช่วงตี 2 เองค่ะ แต่พอเราตั้งใจแล้วว่า คืนนี้จะหลับถึงเช้า มันจะเริ่มทำได้ค่ะ อาจสะดุ้งตื่นบ้าง แต่ประสาทไม่ตื่นแล้ว และเราจะนอนต่อไปเลยค่ะ หรือถ้าไปเข้าห้องน้ำบีมก็จะกลั บมานอน ไม่ทำงานต่อ ตอนนี้สามารถนอนต่อได้ถึงเช้ าแล้วค่ะ คือ มันแค่ต้องอาศัยความตั้งใจ การบังคับตัวเองให้นอนต่อ และให้เวลาร่างกายในการปรับตั วค่ะ ช่วงแรกเราอาจหงุดหงิดที่มันไม่ ง่วง แต่เราสามารถสร้างสภาพแวดล้ อมให้ตัวเองง่วงเร็วได้ค่ะ เช่น
- อาบน้ำเร็วขึ้น
- เอาลิสต์งานมานั่งดูว่าอั
นไหนทำเสร็จ อันไหนยังไม่เสร็จ ให้เห็นภาพรวมของงาน แล้วจัดแจงว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ ค่ะ จะได้ไม่กังวลเอาไปคิดต่อก่ อนนอน พอลิสต์และแพลนเสร็จแล้วต้องปล่ อยวางเลยค่ะ คิดเสียว่าเวลาทำงานวันนี้ หมดแล้ว ทันไม่ทันก็ค่อยต่อกันพรุ่งนี้ ค่ะ ไม่ต้องแบกต่อ - ตอนนอนก็ให้นอนท่าศพเลยค่ะ อาจเปิดไฟสลัว เพลงเบา ๆ ถ้ามันจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้
มากขึ้น จัดห้องให้สะอาด เรียบร้อย คือทำทุกอย่างให้เหมาะกับการผ่ อนคลายค่ะ เหมือนเราเข้าสปาทำนองนั้น แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ละขณะให้วางค่ะ วางแม้ร่างกายของตัวเองลงบนพื้ นดิน วางไปเลยค่ะ ให้คิดว่าเรากำลังด่ำดิ่งสู่ผื นดินหรือผืนน้ำค่ะ วางร่างกายกับสมองที่แบกอะไรต่ อมิอะไรไว้บนพื้นนั้นล่ะค่ะ (เทคนิคนี้บีมใช้ประจำค่ะ แก้โรคนอนไม่หลับได้ดีมาก)
****************************************************************
- การสวนล้างทวาร...เคยได้ยินว่า บางคนกลายเป็นลำไส้อักเสบ บางคนได้ผลดี บางคนกลับได้โรคเกี่ยวกับลำไส้ เป็นสิ่งตอบแทน...ตกลงว่าดีหรื อไม่??
ลองดูในหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ บีมว่าเขาเชี่ยวชาญทางด้านนี้ น่าจะให้คำตอบได้น่าเชื่อถือว่ าบีมที่ยังไม่มีดีกรีเป็นแพทย์ ทางเลือกค่ะ แต่เป็นผู้ปฏิบัติค่ะ บีมตอบมันจะดูไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้าจากตัวบีมเอง บีมไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ทำกี่ครั้งก็ไม่เคยมี คนที่เข้าคอร์สล้างพิษที่บีมเคยเป็นผู้ประสานงานจัดขึ้น แม้จะทำกันครั้งแรก ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คนที่เป็นลำไส้อักเสบ ในหนังสือของคุณหมอบรรจบน่ าจะอธิบายว่าเป็นเพราะทำบ่อยไป ทำไม่ถูกวิธี น้ำร้อนไป หรือไม่เอาลมออกจากสายยางก่ อนใส่ค่ะ
นี่คือบางส่วนจากหนังสือคุ ณหมอค่ะ
ข้อมูลแนะนำเพิ่มค่ะ
บีมหากระทู้ที่คุณหมอตอบไม่ เจอน่ะค่ะ แต่พี่ปอลองสอบถามคุณหมอที่ เว็บบอร์ดของบัลวีได้นะคะ เขาจะมาตอบเองตลอดค่ะ
****************************************************************
- เราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่ าเราเครียด....คนชอบบอกว่าเครี ยดแต่เราไม่เห็นว่าเราเครี ยดตรงไหน แค่เป็นคนจริงจังเท่านั้นเอง
พี่ปอลองสังเกตเวลาที่ตั วเองเผลอนะคะ ถ้าคนที่เครียดคือ
- หายใจเร็วกว่าปกติ และหายใจสั้น
- มักกัดฟัน เวลานอนก็อาจกัดฟัน
หลัก ๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ คือ ถ้ามีสติรู้ตัวจับลมหายใจตั วเองได้บ่อย ก็จะทราบเองค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้สั่งจากจิตใต้ สำนึก เรามักไม่รู้ตัวค่ะ หลายคนมักจะนอนไม่หลับด้วยค่ะ หลับยาก ฝันบ่อย จิตฟุ้งซ่าน โมโหหงุดหงิดง่าย ระเบิดง่าย เหล่านี้เกิดจากความเครี ยดสะสมค่ะ
0 comments:
Post a Comment
ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ