Wednesday, September 19, 2012

ตอบปัญหาภาวะซีดจากการไม่ได้ทานเนื้อสัตว์


บีมตอบอีเมลผู้สนใจท่านหนึ่งค่ะ ซึ่งบีมมองว่าเป็นคำถามที่ดีและคนที่รักษาสิวน่าจะมีคำถามนี้ในใจด้วย 

ปัญหา: ด้านล่างนี้เป็นอีเมลฉบับแรกที่บีมได้รับมาจากท่านนี้ค่ะ แต่เราก็ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มไป และขอรูปด้วยค่ะ (แต่บีมขอไม่เผยแพร่รูปค่ะ ขอนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็พอค่ะ) ทำให้บีมมีข้อมูลมากขึ้นในการช่วยวิเคราะห์ปัญหานะคะ

เป็นสิวเรื้อรังมานานกว่า 20 ปี  ช่วงที่หาหมอก็ดีขึ้น  หยุดหาหมอก็หน้าเละ
อ่านหนังสือคุณบีมและทำตามได้ 3 เดือน หน้าดีขึ้น  แต่มีปัญหาเหงื่อออกมาก เหนื่อยง่ายค่ะ
ไปตรวจเลือดพบว่า เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กลง ทำให้ขนส่งออกซิเจนได้น้อยลง...คุณหมอบอกว่าต้องกินเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด
จึงต้องกลับมากินเนื้อสัตว์อีกครั้ง  ประกอบกับใกล้สอบ นอนดึก
ตอนนี้หน้าเละอีกรอบแล้วค่ะ
เฮ้อ!!! หาจุดสมดุลให้ตัวเองไใม่ได้จริง ๆ ค่ะ ว่าควรจะปรับอาหารอย่างไร ให้หน้าไม่ full of acne ขนาดนี้ และไม่มีปัญหาเม็ดเลือด ><'

รู้สึกเคว้ง รู้จุดหมายปลายทางว่าเราต้องการอะไร แต่ไม่รู้จะใช้เส้นทางไหน เดินทางไปด้วยพาหนะอะไร จึงจะดีที่สุด ....

ขอคำแนะนำด้วยนะค่ะ
ส่วนด้านล่างนี้ เป็นคำถามที่ส่งมาสอบถามในแบบฟอร์มขอรับคำปรึกษาค่ะ บีมก็ตอบไปตามนี้นะคะ 

****************************************************************

- การกินงาดำ ช่วยทดแทนโปรตีนให้ร่างกายได้หรือไม่
บีมคิดว่าพี่ปออาจจะได้ลองหาข้อมูลมาบ้างแล้วนะคะ เพราะด้วยอาชีพนักวิจัยน่าจะเป็นคนหาข้อมูลหรือหาคำตอบให้ตัวเองเก่งค่ะ แต่บีมขอเสนอข้อมูลไป 2 ลิงค์นะคะ ที่บีมคิดว่าจะพอช่วยตอบคำถามพี่ปอได้


ลิงค์แรก เป็นข้อมูลที่บีมอ่านเกี่ยวกับงาดำแล้วมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำถามดังนี้ค่ะ

2.      งา นอกจากจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังมีโปรตีนอีกถึง 20 % โปรตีนของคนเราประกอบด้วยกรดอะมิโนประมาณ 22 ชนิด แต่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องอาศัยจากการกินอาหารมีอยู่ 9 ชนิด ซึ่งมีอยู่ในถั่วเกือบครบถ้วน จะขาดแต่กรดอะมิโนจำเป็นตัวหนึ่ง ชื่อ เมทไธโอนีน ( AMINO METHIONINE ) ที่มีอยู่น้อยไม่พอเพียงแต่กลับมีมากในเมล็ดงา ดังนั้นถ้ากินถั่วพร้อมกับงาก็จะได้โปรตีนครบถ้วน

ส่วนอีกเว็บ มีข้อมูลนี้เสริมค่ะ
งา เนื้อคู่ของถั่วสำหรับงา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ 

ประกอบกับข้อมูลที่บีมได้มาจากพี่วิทยากรที่เขาเป็นหมอพื้นเมืองของ อ.พาน ซึ่งบีมเคยถามเขาในเรื่องโปรตีนในอาหารค่ะว่า ถ้าบีมเลี้ยงลูกแต่ไม่อยากให้กินเนื้อสัตว์ จะทำอย่างไรให้เขาได้โปรตีนครบค่ะ เขาบอกว่า จริง ๆ แล้วคนเราน่ะ ข้าว ถั่ว งา ผักผลไม้ ก็ได้ครบหมู่แล้วค่ะ

และข้อมูลจากหนังสือ อึส่องโรค ของคุณหมอบรรจบแห่งบัลวีเองก็สอดคล้องกันค่ะ อยากแนะนำให้พี่ปอหาอ่านเพิ่มด้วยน่ะค่ะ

คือ แบบนี้ค่ะ โปรตีนในเนื้อสัตว์จะให้อะมิโนแบบสมบูรณ์ แต่ในถั่วงาและพืชผักแม้จะมีโปรตีนแต่ไม่สมบูรณ์ค่ะ 

ถ้าในคนที่ระบบย่อยอาหารดี สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้ดีกว่า (แต่โดยสรีระและวิวัฒนาการของมนุษย์เรา ร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทานเนื้อสัตว์ค่ะ จึงเหลือตกค้างเป็นพิษเยอะ) เขาก็จะได้รับอะมิโนครบถ้วนจากการทานเนื้อสัตว์ได้ค่ะ

แต่ถ้าในวงการคนเพาะกายแบบมังสวิรัติ (บีมเคยมีลูกค้าเพาะกายค่ะ เขาเคยส่งลิงค์นักเพาะกายที่ไม่ทานเนื้อค่ะ คือเป็นมังฯ เลย กล้ามขึ้นเหมือนกันค่ะ ยังไงพี่ปอลองหาข้อมูลดูได้นะคะ บีมทำลิงค์หายไปแล้วน่ะจ๊ะ) ของฝรั่งก็ได้ค่ะ พวกนี้ข้อมูลโภชนาการเขาจะเป๊ะมาก ชั่งกิโล ชั่งตาชั่งกินกันเลยทีเดียวค่ะ เขาก็จะกินข้าวกล้อง ถั่ว งา นี่ล่ะค่ะ เต้าหู้ ไข่ไก่ (สำหรับคนไม่เคร่งเท่าไหร่)

จริง ๆ แล้วถ้าไข่ได้มาจากไก่ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช่ระบบอุตสาหกรรม จะไม่มีปัญหาค่ะ แต่เนื้อสัตว์และไข่สมัยนี้โดนฮอร์โมนไปเต็ม ๆ ผลก็คือสิวที่ตามมานี่ด้วยค่ะ

บีมยังพูดไม่จบเนอะ คือ ในข้าวกล้อง ถั่ว งา พืช ผัก นั้นเป็นอาหารที่แท้ของมนุษย์ค่ะ (อ้างอิงจากหนังสือ พิชิตโรคร้ายโดยไม่ใช้ยา ของคุณหมอบุญชัย http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9789743503337) บีมเคยทำคลิปรีวิวเอาไว้น่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าพี่ปอเคยดูหรือยัง แต่เวอร์ชั่นนั้นดูงง ๆ หน่อยค่ะ เพราะบีมเบลอ ๆ) ร่างกายเราจะย่อยพวกนี้ได้สมบูรณ์กว่า (ถ้าระบบย่อยสะอาดและสมดุลนะคะ) และสามารถนำสารอาหารมาใช้ได้มากกว่าค่ะ คือ ย่อยก็เหมือนบดละเอียด ยิ่งละเอียดมาก เรายิ่งได้สารอาหารมากค่ะ ส่วนที่ย่อยไม่ได้ก็จะเป็นใยอาหารช่วยกวาดสิ่งสกปรกทิ้งไปค่ะ คือ พวกนี้เขามีครบเลยที่เราต้องการ

นอกจากถั่วงาแล้ว ข้าวกล้องก็โปรตีนสูงนะคะ คือ กินพวกนี้ก็ไม่ต้องกลัวขาดโปรตีนน่ะค่ะ แต่แค่ต้องกินให้หลากหลายขึ้น

ส่วนวิตามินที่อาจจะขาดคือ บี 12 ค่ะ สำหรับคนไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่คุณหมอบรรจบบอกว่าในน้ำปลามีวิตามินตัวนี้ค่ะ (จากหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ)

****************************************************************
- หากไม่กินเนื้อสัตว์เลย จะปรับพฤติกรรมอย่างไรหรือปรับอาหารแบบไหนให้ร่างกายยังมีกรดอะมิโนเพียงพอต่อการใช้งานของร่างกาย

ตามที่แนะนำเลยจ้า ถ้าไม่สะดวก แนะนำให้ชงผงถั่วเหลืองดอยคำหรือนิวทริไลท์โปรตีนทานค่ะ อย่างบีมตอนท้องนี่ บีมไม่ค่อยอยากทานเนื้อสัตว์ค่ะ นอกจากปลากับกุ้ง แต่ถ้าที่บ้านเขาทำไก่ ทำหมู บีมก็กินได้ค่ะ แต่ไก่นี่สิวจะขึ้นเร็วมาก ฮอร์โมนสูงกระฉูด ยิ่งถ้าทอดไม่ต้องพูดถึงค่ะ และร่างกายบีมจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการกำจัดฮอร์โมนส่วนเกินนี้ออกมาค่ะ เลยเป็นสิวไม่เกิน 3-4 วัน แล้วมันจะยุบไปเองแบบไม่ต้องทายาเลยค่ะ แต่ถ้าทาหรือใช้มาส์กช่วย มันจะยุบเร็วขึ้นค่ะ (แต่บีมชอบทดลองน่ะค่ะ ว่าอันไหนสิวขับ ถ้าขับจริงก็จะยุบได้เอง มันก็เป็นเช่นนั้นจริงจ้า) บีมก็เกรงว่าจะรับโปรตีนไม่พอ แต่จากท้องที่แล้ว บีมพบว่าบีมทานอาหารน้อยกว่าท้องนี้และเนื้อสัตว์แตะไม่มากเลยค่ะ แทบไม่กินเลยล่ะ แต่อาศัยเจ้าผงโปรตีนนิวทริไลท์ค่ะ ทานวันละอย่างน้อย 1-2 ช้อนค่ะ ก็กินจนคลอดค่ะ และก็ดื่มนมแอนมัมสูตรถั่วเหลืองค่ะ เพราะแพ้นมวัวเต็ม ๆ ดื่มสลับกับแลคตาซอยสูตรปกติค่ะ น้องก็แข็งแรงดีค่ะมาโดยตลอดค่ะ

ส่วนอาหารที่เขากิน ส่วนใหญ่เราก็ให้กินเป็นผัก ซุป เต้าหู้ค่ะ พ่อเขากับยายเขามีให้กินไก่บ้าง แต่ไม่บ่อยค่ะ แต่เขาจะยังกินนมวัวสูตร HA อยู่ค่ะ สูตรสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัว คือ ถ้าเราแพ้ ร่างกายก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดีน่ะค่ะ น้องแคนดี้ตอนแพ้ก็ตอนอายุไม่กี่เดือน มีสิวหัวขาวกับหัวแดงเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเหมือนผู้ใหญ่เลย จากผิวหน้าลามไปที่หัวกับหู บีมเลยให้เลิกกินนมสูตรปกติเลยค่ะ คือ บีมมองว่าเรากินอะไรแล้วร่างกายไม่รับ ก็ยังไม่ควรทานค่ะ แต่เราค่อย ๆ ใส่ให้เขาดูได้เป็นระยะ ๆ เพื่อทดสอบระดับภูมิคุ้มกันของเราค่ะ แต่ของบางอย่างเราก็กินไม่ได้เลยจริง ๆ ก็มีค่ะ โดยเฉพาะเคสพี่ปอที่ดื่มนมวัวมานานมาก ๆ และมีประวัติการทานยารักษาสิวมานานมากเหมือนกันค่ะ ดังนั้น การที่พี่เลือกรักษาด้วยวิธีธรรมชาติแล้วสิวลง แต่บีมสันนิษฐานว่าพี่ยังไม่ได้ล้างลำไส้ ล้างตับ อะไรอย่างเต็มที่ เมื่อเราทานเนื้อสัตว์ประกอบกับนอนดึก ย่อมทำให้ร่างกายขับพิษซึ่งมีตกค้างอยู่แล้วและของใหม่ที่รับเข้าไปออกได้เร็วขึ้นค่ะ ก็จะเป็นอย่างที่พี่ปอเห็นตอนนี้เลย

อีกอย่างนะคะ ในหนังสือ "นม...มัจจุราชเงียบ" ก็ได้อธิบายค่ะว่านมวัวเป็นสาเหตุของโรคเลือดจางด้วยค่ะ พี่ปออาจลองหามาศึกษาอีกเล่มนะคะ

ส่วนบางทฤษฎีเช่นกรุ๊ปเลือดก็บอกว่า ถ้ากรุ๊ปโอ จำเป็นต้องได้รับเนื้อสัตว์บ้างค่ะ บีมเคยอ่านเรื่องราวของลูกมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แล้วหันเข้ามาหาพุทธนิกายเซน ในตอนที่ปฏิบัติทานมังฯ ค่ะ แล้วร่างกายอ่อนแอ จึงจำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งค่ะ เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่นิยมที่จะทาน แต่ด้วยสภาพร่างกายบังคับให้ต้องทาน เขาก็ต้องทำน่ะค่ะ แต่กินในปริมาณน้อยสุดที่จะทำให้ร่างกายคงสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ค่ะ มันก็จะพอดี ๆ ไม่มากไปทำให้เกิดโรคค่ะ

ดังนั้น ตอนนี้พี่ปอลองปรับศูนย์ใหม่ค่ะ ถ้าปัญหาคือการขาดโปรตีน เราก็หาแหล่งโปรตีนอื่นทดแทนค่ะ ข้าว ถั่ว งา ทานปริมาณที่มากพอ และอาจทานผงโปรตีนเสริมวันละ 1-2 แก้ว แล้วลองทานอาหารประเภทซุปใส เติมของอุ่น ๆ ให้ร่างกายเสมอ ๆ ค่ะ เราอาจทำงานในห้องแอร์ด้วยหรือเปล่า และช่วงที่รักษาตัวเองที่ผ่านมาทานแต่ของฤทธิ์เย็นหรือไม่ค่ะ จึงทำให้เราซีดลงด้วยค่ะ คือ อาจลองหาน้ำขิงที่ไม่หวานมากดน้ำใส่แล้วดื่มระหว่างทำงานไปได้ค่ะ (ถ้าทำในห้องแอร์นะคะ) 

นอกจากนี้ การที่ร่างกายนอนดึกเกินกว่า 3 ทุ่ม ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและพิการ (บีมใช้คำว่าพิการนะคะ คือมันจะไม่เต็มค่ะ ขาด ๆ วิ่น ๆ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=296964480333944&set=a.190535454310181.45543.130285043668556&type=3&theater ซึ่งข้อมูลนี้บีมน่าจะได้มาจากบทความของแพทย์แผนไทยหรือทางเลือกค่ะ นานแล้ว บีมก็จำไม่ได้ว่าท่านไหน แต่จำได้ว่าส่งผลต่อเม็ดเลือดแดงแน่นอนค่ะ  คือ ถ้านอนดึกไปนาน ๆ จะมีผลทำให้เลือดจางค่ะ

ดังนั้น บีมมองว่าปัญหาผิวซีดและเม็ดเลือดของพี่ปอมีหลายปัจจัยค่ะ คือ
  1. ภาวะเลือดจางสะสมที่เกิดจากการดื่มนมวัวมานานมาก
  2. การนอนดึกติดต่อกัน
  3. การไม่ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ
  4. ระบบหมุนเวียนเลือดลมที่ไม่ทั่วถึง
  5. การไม่ได้รับเนื้อสัตว์ (ถ้าเหมือนกับเคสของลูกมหาเศรษฐีแล้วล่ะก็ พี่ปอคงต้องทานน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวเราค่อย ๆ คัดกรองไปทีละอันนะคะ คือ ลองปรับแก้ที่อาหารดูก่อน ลองไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วทานข้าว ถั่ว งา มาก ๆ

    ลองดูที่เว็บนี้นะคะ คุณหมอแนะนำให้ลองห่อข้าวไปทานเองค่ะ ตามนี้เลย ไล่ลงไปดูที่เขาคุยกันล่างบทความค่ะ
    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=490313047646369&set=a.490313024313038.117546.347954361882239&type=3&theater
****************************************************************

- ร่างกายเราทราบได้อย่างไรว่าตอนนี้ 3 ทุ่ม.....หากเรานอนเที่ยงคืนทุกวัน ร่างกายจะสามารถปรับให้สมดุลในการนอนแบบนี้ได้หรือไม่
ร่างกายมีระบบที่เรียกว่า biological clock ค่ะ บีมแนะนำให้พี่ปอค้นใน Google ด้วยคำว่า "นาฬิกาชีวิต หมอชาวบ้าน" นะคะ อ่านแล้วจะเข้าใจว่าร่างกายเขาทราบได้อย่างไรว่าเวลาไหนต้องทำอะไรค่ะ มันเป็นไปตามธรรมชาติค่ะ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เราก็ตื่น ดวงจันทร์ขึ้น เราก็ต้องพักน่ะค่ะ ต้องมองอะไรธรรมดา ๆ แล้วจะเข้าใจค่ะ 

ถ้าเรานอนเที่ยงคืนทุกวัน เราก็จะมีนาฬิกาปรับเวลานอนเป็นเที่ยงคืนค่ะ การจะปรับมานอน 3 ทุ่มก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ทำได้ค่ะ

อย่างบีมเองนะคะ ก่อนท้องท้องนี้ บีมต้องเอาลูกนอนประมาณ 3 ทุ่ม แล้วจะเหนื่อยค่ะ ต้องนอนไปกับเขาเลย และบีมจะตื่นมาทำงานประมาณตี 2-ตี 4 ทุกคืน แต่พอท้องแล้ว บีมก็ต้องปรับเวลาค่ะ เพราะเราต้องนอนให้ได้ทั้งคืนแล้วมาตื่นตอนเช้าเอาค่ะ ช่วงแรก ๆ ประมาณสัปดาห์กว่า ๆ - 2 สัปดาห์ บีมก็ยังตื่นมาช่วงตี 2 เองค่ะ แต่พอเราตั้งใจแล้วว่า คืนนี้จะหลับถึงเช้า มันจะเริ่มทำได้ค่ะ อาจสะดุ้งตื่นบ้าง แต่ประสาทไม่ตื่นแล้ว และเราจะนอนต่อไปเลยค่ะ หรือถ้าไปเข้าห้องน้ำบีมก็จะกลับมานอน ไม่ทำงานต่อ ตอนนี้สามารถนอนต่อได้ถึงเช้าแล้วค่ะ คือ มันแค่ต้องอาศัยความตั้งใจ การบังคับตัวเองให้นอนต่อ และให้เวลาร่างกายในการปรับตัวค่ะ ช่วงแรกเราอาจหงุดหงิดที่มันไม่ง่วง แต่เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้ตัวเองง่วงเร็วได้ค่ะ เช่น
  1. อาบน้ำเร็วขึ้น 
  2. เอาลิสต์งานมานั่งดูว่าอันไหนทำเสร็จ อันไหนยังไม่เสร็จ ให้เห็นภาพรวมของงาน แล้วจัดแจงว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ค่ะ จะได้ไม่กังวลเอาไปคิดต่อก่อนนอน พอลิสต์และแพลนเสร็จแล้วต้องปล่อยวางเลยค่ะ คิดเสียว่าเวลาทำงานวันนี้หมดแล้ว ทันไม่ทันก็ค่อยต่อกันพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ต้องแบกต่อ
  3. ตอนนอนก็ให้นอนท่าศพเลยค่ะ อาจเปิดไฟสลัว เพลงเบา ๆ ถ้ามันจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น จัดห้องให้สะอาด เรียบร้อย คือทำทุกอย่างให้เหมาะกับการผ่อนคลายค่ะ เหมือนเราเข้าสปาทำนองนั้น แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ละขณะให้วางค่ะ วางแม้ร่างกายของตัวเองลงบนพื้นดิน วางไปเลยค่ะ ให้คิดว่าเรากำลังด่ำดิ่งสู่ผืนดินหรือผืนน้ำค่ะ วางร่างกายกับสมองที่แบกอะไรต่อมิอะไรไว้บนพื้นนั้นล่ะค่ะ (เทคนิคนี้บีมใช้ประจำค่ะ แก้โรคนอนไม่หลับได้ดีมาก)
****************************************************************
- การสวนล้างทวาร...เคยได้ยินว่า บางคนกลายเป็นลำไส้อักเสบ บางคนได้ผลดี บางคนกลับได้โรคเกี่ยวกับลำไส้เป็นสิ่งตอบแทน...ตกลงว่าดีหรือไม่??
ลองดูในหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ บีมว่าเขาเชี่ยวชาญทางด้านนี้ น่าจะให้คำตอบได้น่าเชื่อถือว่าบีมที่ยังไม่มีดีกรีเป็นแพทย์ทางเลือกค่ะ แต่เป็นผู้ปฏิบัติค่ะ บีมตอบมันจะดูไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้าจากตัวบีมเอง บีมไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ทำกี่ครั้งก็ไม่เคยมี คนที่เข้าคอร์สล้างพิษที่บีมเคยเป็นผู้ประสานงานจัดขึ้น แม้จะทำกันครั้งแรก ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คนที่เป็นลำไส้อักเสบ ในหนังสือของคุณหมอบรรจบน่าจะอธิบายว่าเป็นเพราะทำบ่อยไป ทำไม่ถูกวิธี น้ำร้อนไป หรือไม่เอาลมออกจากสายยางก่อนใส่ค่ะ

นี่คือบางส่วนจากหนังสือคุณหมอค่ะ

ข้อมูลแนะนำเพิ่มค่ะ

บีมหากระทู้ที่คุณหมอตอบไม่เจอน่ะค่ะ แต่พี่ปอลองสอบถามคุณหมอที่เว็บบอร์ดของบัลวีได้นะคะ เขาจะมาตอบเองตลอดค่ะ

****************************************************************
- เราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเราเครียด....คนชอบบอกว่าเครียดแต่เราไม่เห็นว่าเราเครียดตรงไหน แค่เป็นคนจริงจังเท่านั้นเอง
พี่ปอลองสังเกตเวลาที่ตัวเองเผลอนะคะ ถ้าคนที่เครียดคือ
  1. หายใจเร็วกว่าปกติ และหายใจสั้น
  2. มักกัดฟัน เวลานอนก็อาจกัดฟัน
หลัก ๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ คือ ถ้ามีสติรู้ตัวจับลมหายใจตัวเองได้บ่อย ก็จะทราบเองค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้สั่งจากจิตใต้สำนึก เรามักไม่รู้ตัวค่ะ หลายคนมักจะนอนไม่หลับด้วยค่ะ หลับยาก ฝันบ่อย จิตฟุ้งซ่าน โมโหหงุดหงิดง่าย ระเบิดง่าย เหล่านี้เกิดจากความเครียดสะสมค่ะ

****************************************************************

0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ