Monday, October 15, 2012

วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันหลังล้างพิษรักษาสิว (ป้องกันสิวเกิดซ้ำในอนาคต)


คำถาม 2 ข้อนี้มาจากน้องที่รักษาสิวตามแนวทางนี้มาได้สักพักใหญ่แล้วค่ะ แต่เข้าใจว่าน้องคงจะมีปัญหากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามมาเช่น อาการขับพิษที่ค่อนข้างรวดเร็วเวลาเจออะไรแปลกปลอม และคำตอบที่บีมตอบนี้ถือเป็นคำอธิบายใหม่ล่าสุดที่บีมเองค้นพบไม่นานมานี้นะคะ อยากให้อ่านกันดูค่ะ และคิดว่าเพื่อป้องกันสิวเกิดซ้ำ วิธีนี้ก็ใช้ได้ค่ะ โดยช่วงที่ค่อย ๆ ปรับร่างกายให้เข้ากับสิ่งแปลกปลอมรอบตัวแต่ละช่วงก็จะมีสิวขึ้นได้ค่ะ เพราะระบบภายในปรับตัว แต่มันจะค่อย ๆ หายไปได้ค่ะ (จากที่บีมสังเกตตัวเอง)

ตามมาอ่านเลยค่ะและทำความเข้าใจดี ๆ นะคะ ประเด็นนี้สำคัญเหมือนกันค่ะ คำถามดีมาก ต้องขอบคุณน้องที่ถามเข้ามาค่ะ
==========================================================

คำถามที่ 1
หนูสงสัยอีกอย่างว่าถ้าเราร่างกายสะอาดแล้ว  เหมือนเวลาเรารับอะไรที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันก็จะตอบสนองทันที  โดยมีอาการแปลกๆมา  มันเหมือนร่างกายเราอ่อนแอ(แต่จริงๆมันไม่ได้อ่อนแอ)  แต่ทำไมเมื่อร่างกายเราไม่สะอาด  เวลารับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันไม่เห็นมีอะไรเลย คืออยู่ปกติดี มันไม่เห็นแสดงผลเหมือนเวลาร่างกายเราสะอาดเลย  หรือว่ามันก็จะแสดงผลเหมือนกันคะ  แต่ออกฤทธิ์ช้า แล้วไปแสดงผลแบบอื่น พี่บีมอธิบายให้หนูฟังหน่อยนะคะ  

เมื่อก่อนพี่อาจจะตอบคำถามหนูไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่มีคำตอบให้หนูแล้วค่ะ เพราะพี่ผ่านจุดนี้มาละ

หนูต้องลองหาหนังสือ "มาเป็นหมอรักษาตัวเอง" ของหมอเขียวมาอ่านดูค่ะ เพราะรู้สึกพี่เองก็ได้คำตอบมาจากตรงนั้นด้วย ประกอบกับประสบการณ์สุขภาพส่วนตัวค่ะ และยังมีข้อมูลที่ได้มาจากพี่ฉิน เพื่อนใน MB อีกค่ะ ที่นำข้อมูลมาแชร์ให้ฟังหลังจากไปพบแพทย์ทางเลือกค่ะ 

หนูคงสงสัยว่า ในเมื่อดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว ร่างกายสะอาดแต่ทำไมมีอาการแปลกปลอมเร็วใช่ไหมคะ ค่ะ สมมติว่าหนูมีพื้นบ้านสีขาวสะอาดมาก ๆ แล้วพอใช้ไปนาน ๆ สีก็ออกขุ่น ๆ ใช่ไหมคะ เพราะเริ่มสกปรกแล้ว แล้วเวลาหนูมาขัดล้างเขาใหม่ เขาก็กลับมาขาวสะอาด เวลามีรอยเท้าหรืออะไรสกปรกก็จะเห็นง่าย เห็นเร็ว ถูกไหมคะ

ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าหนูไม่ขัดล้างเขาเลย เวลามีอะไรสกปรก ๆ ไปตกใส่เพิ่ม ก็แทบสังเกตไม่เห็นถ้ามันไม่ชัดจริง ๆ ใช่ไหมเอ่ย

ร่างกายคนเราก็แบบนั้นค่ะ แต่แตกต่างตรงที่ว่า ร่างกายของเรามีกลไกทางธรรมชาติที่จะจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและรักษาสมดุลอยู่เสมอ ไม่เหมือนพื้นปกติค่ะที่ไม่มีกลไกเหล่านี้ค่ะ

เมื่อหนูเป็นสิวนั่นคือ พื้นสกปรกมาก ๆ ถึงมากที่สุด จนพื้นขาวเป็นดำชัดเจนเลยค่ะ แล้วหนูก็มาล้างเพื่อให้มันกลับมาขาวอีกครั้ง

คราวนี้เวลามีอะไรที่มาตกใส่ หรือเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันไปเห็นสิ่งแปลกปลอมเข้า เขาจะเข้าไปจัดการได้ทันทีค่ะ จึงทำให้มีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอมเร็วมาก ดังนั้น พี่จึงแนะนำทุกคนว่าช่วงล้างพิษให้หลีกเลี่ยงสิ่งแปลกปลอมทุกอย่างค่ะ เพราะภูมิคุ้มกันจะเร็วกว่าปกติ อาจทำให้การตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมมีมากกว่าปกติได้ค่ะ

คราวนี้สิ่งที่พี่จะแนะนำก็คือ ค่อย ๆ ใส่สิ่งแปลกปลอมให้ภูมิคุ้มกันได้ปรับตัวค่ะ จากระดับ 1 เป็น 2 ไปเรื่อย ๆ จนเราสามารถกิน อยู่ ในภาวะปกติได้เหมือนคนอื่น ๆ ค่ะ แต่มันจะมีอาหารที่มันไม่ถูกกับเราโดยธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ ในคนเป็นสิว ทั่วโลกเลย ต่างก็มีอาการแพ้อาหารประเภทแป้งขาว กลูเทน และอะไรเหมือน ๆ กันค่ะ คนมีแนวโน้มเป็นอะไร รูปแบบกลไกการทำงานของร่างกายก็จะเป็นไปทางที่คล้าย ๆ กันเลยค่ะ 

ดังนั้น พี่จึงแนะนำให้เรารู้เลยว่า เราแพ้อาหารตัวไหน และกินไม่ได้แน่นอนตลอดชีวิตนี้ อย่างพี่คือ นมวัวและทุกอย่างจากวัวและสัตว์ใหญ่ค่ะ ซึ่งหลายครั้งมันเกี่ยวกับเรื่องของกรรมเก่า เรื่องของจิตค่ะ บางคนทำบุญบารมีจากชาติก่อน ๆ มาได้เคยปฏิบัติธรรมขั้นสูง ซึ่งอาจเคยละเว้นการทานเนื้อสัตว์ทั้งหลายและปฏิญาณจะไม่กินอีก พอได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก แล้วไปทานเนื้อสัตว์ ร่างกายก็ต่อต้านได้ค่ะ 

คือเราต้องคิดเสมอว่ามนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ 5 ค่ะ มีกายกับจิตคู่กัน ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลร่างกายนี้แล้ว แต่การทานอาหารบางอย่างยังสร้างปัญหาให้เราและหาคำตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ พี่มองว่ามันเป็นเรื่องของจิตและความผูกพันของจิตต่อบางสิ่งค่ะ ซึ่งพูดประเด็นนี้บางคนอาจไม่เข้าใจ เข้าใจน้อย เข้าใจมาก ตีความต่างไป ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลค่ะ แต่พี่มองเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับแบบนี้ค่ะ จากที่สังเกตตัวเองและหลาย ๆ คนค่ะ

ดังนั้น หาอาหารที่ว่านี้ก่อนค่ะ แล้วไม่ต้องกินหรือกินให้น้อย ถ้ากินแล้วสร้างความทุกข์ให้ร่างกาย ก็ไม่ต้องกินค่ะ ซึ่งมันมีไม่กี่ชนิดค่ะ 

ส่วนอาหารอื่น ๆ ก็ให้ค่อย ๆ ใส่เข้าไปให้ร่างกายค่ะ อย่าให้เข้าไปทีเดียว จาก 2-3 เดือนแรกที่เราเคร่งเรื่องอาหารและล้างพิษ เราก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเริ่มทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนขึ้น หรือแปลกปลอมต่อร่างกายหน่อย ๆ แต่ไม่บ่อย เช่น สัปดาห์ละครั้งก่อน เพื่อให้เขามีเวลากำจัดออกประมาณ 1 สัปดาห์ พอเดือนที่ 2 ก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นต้นค่ะ

แต่สำหรับบางคนเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทางที่สอดคล้องกับธรรมชาติได้มาก กินมังฯ ไปตลอดชีวิตได้ แต่ทานให้หลากหลาย นั่นก็ถือเป็นบุญของเขาค่ะที่ทำได้แบบนั้น แต่มันก็อยู่ที่เราจะเลือกด้วยจ้าว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน เราก็ค่อย ๆ สร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเข้าใกล้ชีวิตแบบที่เราต้องการค่ะ

อันนี้คือพี่ให้ทางแก้ปัญหาไปเลยนะคะ เพราะพี่ก็ทำกับตัวเองแบบนี้ค่ะ ตอนนี้พี่ sensitive กับอาหารบางอย่างเท่าน้ันค่ะ และรู้ว่าถ้ามีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ซึ่งตรงตามข้อมูลธาตุเจ้าเรือนที่น้องเกด (แพทย์แผนไทย) วิเคราะห์ให้พี่ ทุกอย่างจะรวนทันทีค่ะ ก็เป็นงั้นจริงค่ะ พี่ก็ต้องดูแลระบบนี้อย่าให้ติดขัดค่ะ และทานอาหารที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารได้มากขึ้นค่ะ จากเดิมที่ทานแต่อาหารฤทธิ์เย็นค่ะ พี่ก็ปรับค่ะ มันก็ดีขึ้นตามนั้นจริงค่ะ

แต่ช่วงที่เราปรับ ร่างกายอาจจะอิดออด มีสิวขึ้นบ้างอะไรบ้างค่ะ แต่พอเขาปรับได้ระดับหนึ่ง มันก็จะดีขึ้นเองค่ะ แล้วเราก็เพิ่มดีกรีของสิ่งแปลกปลอมเข้าไปค่ะ เพื่อให้ภูมิเราได้ออกกำลัง ได้ทำงาน และแข็งแรงขึ้นค่ะ เหมือนเชื้อโรคที่มันปรับตัวกับยาโดสใหม่ ๆ เสมอ ๆ น่ะค่ะ

สิ่งสำคัญคือ การนอนเร็ว และทำจิตให้ผ่องใสเสมอ ๆ ค่ะ 2 อย่างนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ เพราะการนอนเร็วถือเป็นการล้างพิษประจำวันของร่างกายโดยธรรมชาติ และการทำจิตให้ผ่องใส กำจัดความขุ่นได้เสมอ ๆ ถ้าได้บ่อย ๆ ยิ่งดีค่ะ นั่นคือการล้างพิษจิตใจค่ะ

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมตอนร่างกายไม่สะอาด มันไม่ตอบสนองหรือตอบสนองช้า ก็เพราะพิษมันเยอะไปจนภูมิคุ้มกันเขาไม่รู้จะจัดการอะไรก่อนน่ะค่ะ บางทีก็เสื่อมความสามารถในการแยกแยะไปเลยว่าอะไรคือสิ่งดี อะไรคือสิ่งไม่ดีต่อร่างกายค่ะ นั่นคือธรรมชาติที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ 

ถ้าให้เปรียบเทียบนะคะ สมมติว่าปกติแล้วหนูอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่นิสัยไม่ค่อยจะดี แต่ตอนอยู่ในกลุ่ม หนูมองไม่เห็นสิ่งนั้นค่ะ จนกระทั่งอาจจะได้ลองไปปฏิบัติธรรมหรือไปเจอเพื่อนนิสัยดีมาก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับหนูได้ไปเห็นอะไรที่แตกต่าง ได้ไปล้างความคิดเดิม ๆ รับอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง หนูก็จะเริ่มแยกแยะออกว่า แบบไหนที่เรียกดี แบบไหนเรียกไม่ดี โดยเห็นตามจริงค่ะ หลังจากนั้นหนูก็จะมีทักษะในการเลือกคบคนและเพื่อนมากขึ้นค่ะ

ก็เหมือนร่างกายน่ะค่ะ เมื่อตอนเราไม่ได้ล้างพิษ ความสามารถในการจำแนกของเขาต่ำค่ะ (ภูมิคุ้มกัน) แต่พอเราเริ่มล้างแล้ว เขาก็แยกแยกได้มากขึ้น จัดการกับพิษได้มากขึ้น สมรรถภาพเพิ่มขึ้น แต่เราต้องเป็นคนคอยควบคุมความถี่และปริมาณที่เขาจะได้รับในแต่ละช่วงค่ะ ให้เหมาะกับระดับความสามารถของเขา ยิ่งช่วงล้างพิษหรือหลังล้างพิษ ถ้าไปใส่ของแปลกปลอมเลย ภูมิคุ้มกันก็ทำงานเสียเต็มที่เลยค่ะ คือ Overacting ไปเลย ทำให้อะไรนิดหน่อยก็ขึ้น ก็ไม่สบายค่ะ ต้องค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกค่ะ

คำถามที่ 2
สมมุติว่าเวลาเรารับแต่สิ่งดีๆเข้ามาในร่างกาย  เช่น กินอาหารที่ดี  สิ่งแวดล้อมดี  คือทุกอย่างดีหมด  แล้วเวลาเราเจอเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆ แล้วเราจะจัดการกับมันได้ไหมคะ  ในเมื่อร่างกายเราไม่เคยเจอกับสิ่งไม่ดีเลย แล้วมันจะมีภูมิคุ้มกันมาต่อต้านหรือเปล่าคะ กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ค่อยดูแลร่างกาย  เมื่อเค้าได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป  ร่างกายก็ต้องกำจัดออก  หรือคอยสร้างภูมิคุ้มกันมาต้าน  ถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆเข้ามา  ก็มีแนวโน้มที่จะจัดการง่ายกว่าคนที่รักษาสุขภาพหรือเปล่าคะ

ค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกนะคะน้องกิ่ง จนเขาสามารถรับมือกับพิษประจำวันได้ดี แล้วถึงตอนที่เชื้อโรคใหญ่มา คนไม่เคยล้างพิษ จะทรุดเร็วกว่าคนที่ดูแลตัวเองจนระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้นตามธรรมชาติที่เราช่วยให้เขาปรับค่ะ แต่สำหรับคนที่ดูแลร่างกายตัวเองดี และปรับระดับภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว แม้จะเจอเชื้อโรคใหญ่ ร่างกายจะจัดการได้ดีและเร็วกว่าค่ะ ป่วยและหายเร็วกว่าไม่เรื้อรังค่ะ และไม่ทรุดลงแบบกะทันหันด้วย ที่สำคัญใช้วิชาที่เรียนมาในการดูแลตัวเอง รักษาตัวเองได้เลยค่ะ เหมือนที่พี่ทำเวลาเป็นหวัดค่ะ มันดูเหมือนอาการรุนแรงกว่าคนที่ไม่กินยา แต่เป็นไม่นานค่ะ ไม่เกิน 3-5 วันพี่หายแล้ว แบบไม่ต้องกินยาเลย ใช้สมุนไพร ใช้ธรรมชาติล้วน ๆ ค่ะ ใช้วิถีองค์รวมค่ะ

ไม่เชื่อหนูลองดูเคสคนป่วยสมัยนี้ค่ะ ในกลุ่มที่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือทำงานหนักมานาน ถ้าป่วย เขาจะเป็นเยอะเลย โรคแทรกซ้อนเพียบค่ะ คือ มันแฝงอยู่แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงออกมาค่ะ ในเรื่องนี้หนังสือ "เข็มทิศสุขภาพ" จะอธิบายได้ดีค่ะ หนูลองหามาอ่านดู อยู่บทแรก ๆ เลยค่ะ เขาจะอธิบายถึงกลไกว่าเหตุใดคนที่ทำงานหนัก ๆ พอได้พักแล้วก็จะเริ่มเหมือนไม่สบาย ทำให้เขาเข้าใจผิดว่า ถ้าทำงานแล้วจะแข็งแรง ถ้าไม่ทำงานแล้วจะป่วย ทำให้เขาไม่พักผ่อนและมักไปทำงานต่อค่ะ แต่คนกลุ่มนี้ถ้าป่วยแล้วจะเป็นเยอะค่ะ เห็นดาราหลายคนไหมคะ ที่ทำงานหนักจนเข้าโรงพยาบาล ก็มาจากเหตุนี้ด้วยค่ะ บางคนอยู่ดี ๆ ก็เลือดออกตา ประมาณนี้ค่ะ

สังเกตเยอะ ๆ ค่ะ แล้วน่าจะเห็นเหมือนกันตามนี้ เพราะมันเป็นสัจธรรมค่ะ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

อธิบายแบบนี้หวังว่าจะตอบคำถามของหนูได้ครบนะคะ
พี่บีม ^^

0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ