Sunday, December 9, 2012

Q&A : รักษาสิวแล้วน้ำหนักลดเหมือนคนป่วย ทำไงดีครับ

พี่บีม ตอนนี้ผมประสบปัญหามวลกล้ามเนื้อมัน หายนะครับ แบบว่าจากอวบๆ จะเรียกว่าแห้งเลยก็ได้ครับ ไม่รู้ว่ามันดีหรือป่าว แต่คนอื่นทักว่าป่วยทุกคนเลย ผมติดที่ไม่ได้ออกกำลังกายนะครับ มีวิธีเพิ่มมวลกล้ามเนื้อมั้ยครับ หรือ ออกกำลังกายๆง่ายนะครับ ขอคำแนะนำหน่อยครับผม ขอบคุณครับ
 

Saturday, December 8, 2012

คำถามคำตอบ: คนท้องไม่ทานเนื้อสัตว์ได้เหรอคะ?


มีเพื่อน ๆ ชาว MB ผู้ดูแลสุขภาพ ส่งคำถามที่คนถามบ่อยเข้ามาถามบีมค่ะ บีมคิดว่ารอบนี้ตอบครบดีค่ะ และอยู่ในที่ที่บีมดึงข้อมูลมาแบ่งปันง่าย เลยแชร์นะคะ

มีเรื่องอยากถามคุณบีมคะ เป็นเรื่องถกเถียงมากของดิฉันกับญาติคะ
เรื่องงดเนื้อสัตวสำหรับคนท้องคะ
คุณบีมมีน้อง งดเนื้อสัตว์ ได้เหรอคะ
มีผลกับน้องมั้ยคะ

นี่คือคำตอบของบีมนะคะ

เรื่องเนื้อสัตว์นะคะ บีมว่าแล้วแต่คนค่ะ แต่กับบีม กินเนื้อสัตว์จะเหมือนทรมานร่างกายนะคะ
ตอนท้องน้องแคนดี้ เนื้อสัตว์แทบไม่ทานค่ะ แต่บีมจะดื่มนมแลคตาซอยวันละหลาย ๆ กล่อง มีพี่ที่บีมเคารพรักเขาแนะนำให้ทานปลาทูน่าในน้ำแร่ค่ะ เขาบอกว่าบีมอยู่เชียงราย ปลาไม่ค่อยสดเหมือนที่เขาอยู่ (ภาคใต้) แนะนำให้ทานแบบนั้นก็ได้โปรตีนสูงค่ะ บีมดูฉลากโภชนาการแล้วก็สูงจริงค่ะ น่าจะมากกว่าหมู ไก่ เนื้ออีกค่ะ แต่อาหารกระป๋องให้ระวังเกลือโซเดียมและสารกันบูดค่ะ ก็ดูยี่ห้อที่มีคุณภาพหน่อย ทานถั่วเขียวต้มน้ำตาลเป็นหม้อเลยค่ะ เห็ด และเสริมด้วยนิวทริไลท์โปรตีนค่ะ แคนดี้แข็งแรงดีค่ะ แม้น้ำหนักจะน้อยไปหน่อยเพราะตอนนั้นบีมยังไม่มีพนักงานและพี่แม็คยังไม่มาช่วยค่ะ ทำให้น้องคลอดก่อนกำหนดไป 1 เดือนค่ะ นับตั้งแต่วันที่เขาคลอดจนถึงทุกวันนี้ เขายังไม่เคย admit เลยค่ะ หวัดแทบไม่เป็นค่ะ นับครั้งได้เลย พอเขาออกมา บีมกับพี่แม็คดูแลเรื่องอาหารอย่างดีค่ะ ส่วนใหญ่บีมก็จะดูแลเขาตามแนวทางของบีมค่ะ แต่ยืดหยุ่นให้ทานไก่และหมูได้บ้างค่ะ พอเขาโตเราก็อนุญาตให้ชิมไอติมและอื่น ๆ ได้ แต่บีมจะบอกว่าไม่ดีต่อฟันและสุขภาพค่ะ เขารู้เรื่องค่ะ เขาก็ไม่เรียกร้องกินค่ะ บอกว่าไม่ดี ก็ไม่เอา นั่นเป็นผลจากที่เราดูแลสุขภาพและถ่ายทอดให้เขาแบบไม่รู้ตัวค่ะ

สำหรับคนนี้ ช่วงแรกบีมก็ลองกลับมาทานเนื้อสัตว์ดูค่ะ หมู ไก่ แต่...มันร้อนในค่ะ ทานไม่ได้จริง ๆ ทรมานตัวเองค่ะ ปากแห้ง ช่วงหลังเลยรู้ละค่ะว่า กินไม่ได้จริง ๆ

ที่ทานตอนนี้จะมีปลาเป็นหลักค่ะ พี่แม็คจะทำให้ แต่ตอนแพ้ท้องนั้นทรมานดีค่ะ ^^ ของมีประโยชน์แทบกินไม่ได้ ปลาก็ไม่ได้ค่ะ

เนื้อไม่กินอยู่แล้วค่ะ หมู ไก่ กินแล้วทรมานตัวเอง เลยไม่ค่อยอยากกิน
กินโปรตีนอย่างอื่นค่ะ เห็ด ปลา นิวทริไลท์ นมแอนมัมค่ะ น้องก็เติบโตปกติดีค่ะ

บีมมองว่าคนท้องต้องสังเกตว่า กินอะไรแล้วตัวเองทรมานบ้างค่ะ ถ้าแบบนั้นบีมมองว่า ถ้าเราทรมาน แล้วลูกคงจะรู้สึกไปด้วยน่ะค่ะ เพราะเวลาบีมกินอะไรหรือทำอะไรแล้วเกิดภาวะร้อนเกิน ลูกจะไม่ค่อยดิ้นนะคะ แต่ถ้าเราสบายตัว น้องจะตุบตับ ๆ เลยค่ะ

คุณก็ลองให้เขาสังเกตตัวเองค่ะ กินอะไรแล้วไม่สบายตัวก็ไม่ต้องกิน แหล่งโปรตีนมีเยอะค่ะ แต่แค่โปรตีนมันไม่สมบูรณ์มากเหมือนเนื้อสัตว์ (ก็เป็นเลือดเนื้อน่ะค่ะ มันถึงสมบูรณ์ แต่ย่อยเอาไปใช้ยาก หากทานโปรตีนจากแหล่งอื่น แค่ทานให้หลากหลายค่ะ ไม่ขาดหรอก ไม่ใช่ว่ารู้ว่าเห็ดมีโปรตีนดี ก็ทานแต่เห็ดชนิดเดียวไปอยู่อย่างนั้น แบบนั้นขาดสารอาหารค่ะ และขาดโปรตีนที่ดีได้) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเขาน่ะค่ะ แต่ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์เลย ก็ต้องปรึกษาคุณหมออีกทีนะคะ เพราะถ้าไม่กินจะขาดวิตามินบี 12 ค่ะ แต่หมอบรรจบที่บัลวีบอกว่าวิตามินนี้มีในน้ำปลาอยู่แล้วค่ะ





Wednesday, November 28, 2012

ข้อมูลเบื้องลึกของการไถ่ชีวิตโคกระบือ


ไปอ่านเจอบทความหนึ่งและทำให้ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมการกุศลนี้มากขึ้นค่ะ เลยอยากนำมาแชร์กัน

โดยส่วนตัวแล้ว บีมเป็นคนไม่กินวัวควายอยู่แล้ว เนื้อหมูและไก่แทบไม่กิน พยายามเขี่ยออก ตอนนี้เหลือปลากับกุ้ง และอาหารทะเลเท่านั้น

ได้อ่านกลไกเบื้องหลังของการไถ่ชีวิตโคกระบือจากการพูดคุยกันที่โพสต์นี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่า ทางเดียวที่จะตัดวงจรแบบนี้ได้จริง ๆ คือ การไม่บริโภคหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์นั่นเอง

คุณไถ่มา 1 ตัว แต่โรงฆ่าสัตว์เขามีออร์เดอร์จากร้านอาหารหรืออุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ 1,000 ตัว เหลือ 999 ตัว เขาก็ต้องหาอีก 1 ตัวมาทดแทนอยู่ดี

ไม่ต้องรอให้ถึงเทศกาลกินเจหรอกค่ะ เราลดตรงนี้ได้ทุกวัน

กรรมที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์นั้นส่งผลต่อสุขภาพจริง ๆ ใครได้ลองเองก็คงรู้

ลองกินเนื้อแบบอัด ๆ เต็มที่สัก 7 วัน กับ ลองกินธัญพืช ข้าว ผัก ผลไม้ เห็ด เต้าหู้เต็มที่สัก 7 วัน

รับรองว่าเห็นผลทันตาไม่ต้องรออีก 5-10 ปี

ยังไงก็ขอแชร์เลยนะคะ อ่านก่อนทำบุญดีที่สุดค่ะ บุญจะได้ส่งผลตามที่ตั้งใจเอาไว้

ไถ่ชีวิตโค - กระบือ เป็นการทำบุญหรือบาป

แถมด้วย ข้อฝึกอบรมสติของท่านติช นัท ฮัน เป็นการขยายความศีลข้อที่ 1 ในศีล 5

ข้อฝึกอบรมสติข้อที่ ๑ การปกป้องชีวิต
          ด้วยความตระหนักรู้ถึงความทุกข์จากความรุนแรงและการทำลายชีวิต  ข้าพเจ้าขอตั้งปณิธานที่จะบ่มเพาะปัญญาเห็นแจ้งของความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของสรรพสิ่ง (การเป็นดั่งกันและกัน) และหล่อเลี้ยงเมตตากรุณาจิตให้เบ่งบาน เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของมนุษย์ สัตว์ พืช และสภาพแวดล้อมของสรรพชีวิตเหล่านั้น  ข้าพเจ้าขอตั้งปณิธานที่จะไม่ทำลายชีวิต ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นทำลายชีวิต และไม่สนับสนุนการกระทำใดๆที่ก่อให้เกิดการทำลายชีวิตใดชีวิตหนึ่งบนโลกนี้  ไม่ว่าจะด้วยความคิด หรือการดำเนินชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าก็ตาม  ข้าพเจ้าเห็นว่าการก่อความรุนแรงทั้งหลาย มีสาเหตุจาก ความโกรธ ความกลัว ความอยาก ความคับแคบ และความเชื่ออย่างงมงาย  ที่มีรากมาจากความคิดที่เป็นสองขั้ว และแบ่งแยก  ข้าพเจ้าตั้งปณิธานที่จะเรียนรู้ ฝึกฝน ให้มีทัศนะอันเปิดกว้าง ไร้การแบ่งแยก ไม่ติดยึดกับความเห็นใดความเห็นหนึ่ง ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง หรือระบบความคิดแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อที่จะแปรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง ความเชื่ออย่างงมงาย และการยึดติดในลัทธิใดๆ ที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้าและในโลก

อนุโมทนาให้กับทุกคนที่ลดการเบียดเบียนชีวิตได้นะคะ

Saturday, November 10, 2012

รวบรวมรายชื่อคนดังที่ทานหรือหันมาทานมังสวิรัติ

"(I feel) incredible. I wish I was born this way. When you find out about the processed stuff you have been eating. I wonder why I was crazy all those years." He adds, "All that garbage I was eating running around, the drugs didn't help either." 

เพื่อน ๆ ที่กำลังรักษาสิวอยู่คงสงสัยว่าการทานมังสวิรัตินั้นจะทำให้ขาดสารอาหารหรือไม่อย่างไร และหลายคนเข้าใจว่าเป็นการกินที่ผิดวิสัยของคนทั่วไป และเพื่อน ๆ รอบตัวมักจะล้อเลียนในขณะที่พวกเขาปาร์ตี้และกินพิซซ่าและเนื้อสัตว์กันอย่างสนุกสนานใช่ไหมคะ

บีมขอบอกว่า การทานมังสวิรัติหรือใกล้เคียงมังสวิรัตินั้นไม่ใช่การผิดแปลกอะไรเลยและส่งผลดีต่อการรักษาสิวตามแนวธรรมชาติบำบัดมาก ๆ

ปัจจุบันนี้คนไทยเราทานอาหารเหมือนคนฟากตะวันตกในสมัยก่อน บีมเคยมีเพื่อนเป็นชาวเกาหลี เขามาเที่ยวครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เขาบอกว่า กรุงเทพฯ กับโซลนั้น โซลเหมือนไปไกลกว่าประมาณ 20 ปี ดังนั้น ถ้าเทียบกับตะวันตก (ซึ่งบีมก็ยังไม่เคยไปนะ) เขาคงไปไกลกว่าเรามากกว่า 20 ปีเป็นแน่แท้ อย่างต่ำก็คง 50 ปี เราน่ะ มีของดี ๆ อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมชอบไล่ตามหลังเขาอยู่เสมอเลยนะคะ เหมือนไม่ค่อยเชื่อมั่นในภูมิปัญญาบรรพบุรุษชาวตะวันออกเลย...

แต่ในวันนี้ผู้คนในโลกตะวันตกกำลังหันมานับถือพุทธและเป็นชาวมังสวิรัติกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกสาขาอาชีพคนดังจะมีกลุ่มที่ทานมังฯ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ที่โพสต์เป็นตัวอย่างคือ Mike Tyson นักชกคนดังของโลกค่ะ เขาบอกว่า

"ไม่น่าเชื่อเลย ผมน่าจะรู้จักและอยู่ในแนวทางมังสวิรัติมาตั้งแต่เกิดแล้ว ชั่วชีวิตที่ผ่านมาผมชอบกินอาหารแปรรูปมาก ๆ ผมกินขยะเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า และยาก็ไม่ได้ช่วยผมเหมือนกัน"

แหล่งข้อมูล World Vegetarian Day 2012: Celebrities Who Embrace A Meat-Free Lifestyle

มีอีกหลายคนเลยค่ะ ลองเข้าไปดูกันเพิ่มเติมนะคะ ไม่ใช่แค่ดารานักแสดง แต่มีนักร้อง นักกีฬา นักการเมือง ฯลฯ

นี่นักแข่งรถ กินมังฯ ก็สุขภาพดีและมีแรงได้ อยู่ที่เราเลือกของกินเป็นไหม และกินสมดุลหรือไม่

NASCAR driver Andy Lally
 NASCAR driver Andy Lally fuels himself on a vegan diet. He made the switch two years ago, according to Vegetarianstar.com. The site writes Lally said: "If (people) were able to see the mistreatment and what goes on and see what shows up to them in a nice shiny package." Earlier this year, at a visit to Farm Sanctuary, Lally said: "By this point in human evolution, we should be smart enough and kind enough to live without torturing other living beings just so we can enjoy lunch, especially when there are so many delicious plant-based options available."

 นี่ก็ดาราดัง ไม่ต้องกินเนื้อเหมือนกัน ก็สวยและสุขภาพดีได้

Alicia Silverstone
Hollywood star and vegan Alicia Silverstone bares all in a Veggie PETA testimonial. She writes on their website: "Now when I see a steak, it makes me feel sad and sick because right away, I see my dog or the amazing cows I met at a sanctuary. I've been vegan for 10 years, and it's the single-most important and helpful decision I have ever made." Silverstone -- PETA's Sexiest Vegetarian Celebrity in 2004 -- adds: "I am doing everything I can to reduce animal suffering with simple lifestyle choices like being vegan, never wearing any products made from animals (like wool and leather), and buying only from companies that NEVER test their products or ingredients on animals."
Advertisement
และจัดไปอีกเว็บนะคะ รวบรวมรายชื่อมาเยอะเหมือนกัน 
มาด้านฝั่งไทยเราบ้าง มีคนดังท่านใดที่ทางมังฯ บ้างนะคะ
บีมพึ่งรู้ว่าคุณเจ มณฑล จิรา ก็ทานมังฯ มาหลายปีแล้วจากนิตยสาร Secret เล่มเดือนตุลาคม 2555 
เจ มณฑล จิรา
 "ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า น้ำอัดลมก็ไม่ค่อยกิน อีกอย่างผมเป็นคนนอนไม่ดึก และตื่นค่อนข้างเช้า นอกจากนั้น ผมจะเล่นโยคะ และพยายามหาทิศทางชีวิตที่มันไม่ค่อยเครียด เช่น ทำในสิ่งที่รัก และมีความสุขกับมัน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวให้ลำบาก หรือไปเครียดกับสิ่งต่าง ๆ มากจนเกินจำเป็น"
     
 "ดังนั้น ถ้าจะให้แนะนำ ผมอยากให้ทุก ๆ คน แบ่งเวลามาออกกำลังกายกันบ้าง อย่างน้อย ๆ อาทิตย์ละ 2-3 วัน หรือใน 1 สัปดาห์หาเวลามากินผัก และงดเนื้อสัตว์กันดู ผมเชื่อว่าสุขภาพเราจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ" หนุ่มเจแนะเคล็ดลับหน้าเด็กที่ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญควรเลือกกินอาหารอย่างมีสติเพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า
แหล่งข้อมูล http://www.manager.co.th/family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012421
ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

“ดาราไทย-เทศ”เลือกเดินเส้นทางมังสวิรัติ
http://www.oknation.net/blog/komchadluek/2010/10/07/entry-1

หวังว่าพออ่านจบแล้วจะฮึด ๆ กันขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นนะคะ การทานมังสวิรัตินั้นให้ศึกษาข้อมูลด้านโภชนาการให้เข้าใจค่ะ จะทานอะไรแทนอะไรที่เคยทานได้บ้าง แล้วลองปฏิบัติให้สมดุลกับตัวเองค่ะ ธาตุแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็เลือกให้เหมาะค่ะ รับรองว่าไม่ขาดสารอาหารแน่นอนค่ะ

Friday, November 9, 2012

ชี้แจง : จะเป็นหมอหรือเป็นเซลล์ขายเครื่องสำอางจ๊ะแม่คุณ


วันนี้แอบไปเจออะไรมานิดนึงบนหน้าเพจ และคิดว่าหลายคนที่พึ่งรู้จักบีมไม่นานมานี้ ก็อาจมีคำถามนี้อยู่ลึก ๆ นะคะ

มีคนโพสต์ว่า จะเป็นหมอหรือเป็นเซลล์ขายเครื่องสำอางจ๊ะแม่คุณ

บีมไม่ตอบตรงนั้นนะคะ แต่จะเขียนอธิบายตรงนี้แล้วกันค่ะ จะได้อ่านกันหลาย ๆ คน

ข้อแรก บีมคิดว่าบีมมีศักยภาพที่จะทำและเป็นทั้ง 2 อย่าง เรื่องเป็นหมอ ตอนนี้อาจขาดแค่ใบประกอบโรคศิลป์เท่านั้น ซึ่งในอนาคตหลังลูกโตเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว บีมไม่มีห่วงอะไรแล้ว ไม่ว่าจะแก่แค่ไหน บีมเรียนเอาความรู้และวุฒิหมอแน่นอนค่ะ แต่จะหมออะไรก็จะดูสาขาที่เปิดกันในอนาคตอีกที เพื่อเติมเต็มความฝันของคุณตาและคุณแม่และของตัวเองด้วย บีมไม่พร้อมเรียนหมอเมื่ออายุ 18 ปีในตอนนั้น แต่ตอนนี้ใจมันเลือกแล้ว ว่าถ้ายังมีลมหายใจ ก็จะเป็นให้ได้ จะได้พูดได้เต็มปากว่า ฉันคือหมอรักษาสิว ได้จริงๆ เสียที และจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้มากกว่านี้ ตอนนี้ขอโฟกัสลูกและทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุดเท่านั้นค่ะ

ข้อสอง บีมคิดว่างานขายหรือเซลล์ไม่ใช่งานที่น่าดูถูกแม้แต่น้อย และเป็นงานสุจริตตราบเท่าที่เราขายของที่คนอื่นต้องการและเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา และล่าสุด บีมได้อ่านหนังสือของครูอ้อย ชื่อเข็มทิศชีวิตมั่งคั่ง แค่บทแรก ๆ ครูอ้อยก็บอกแล้วว่า การขายคือการส่งผ่านสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น บีมอาจจำทุกคำพูดไม่ได้ แต่สิ่งที่ครูอ้อยเขียนตอกย้ำว่า สิ่งที่บีมทำอยู่ เป็นสิ่งที่ดีและควรค่าต่อการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ต่อไป

ข้อสาม คุณอาจไม่ทราบและบีมไม่ได้อยากประกาศออกสื่อสักเท่าไหร่ ช่วงหลังนี้บีมรับรักษาน้องหลายคนฟรี ใช้ผลิตภัณฑ์ฟรี เพราะบีมก็เห็นว่าบีมได้มากแล้ว บีมก็พอตัวแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไร ถึงเวลาจะช่วยคน น้องคนไหนเรียนอยู่ แล้วเป็นเด็กดี อย่างน้องนุชา น้องฝน บีมก็อาสาจะช่วยเอง ไม่คิดต้นทุนอะไรเลย และไม่หวังผลอะไรจริง ๆ กับรอบนี้ แค่ขอให้เขาหาย บีมก็ดีใจ สัญชาตญาณแห่งการรักษาของบีมคือ ต้องทำให้ถึงที่สุด กับคนที่เขาเต็มที่ น้องสองคนนี้เขาดูแลตัวเองดีมาก เป็นเด็กดีมาก บีมแค่อยากช่วย แต่แค่เพราะไม่ได้พูดออกมา ไม่ได้สื่อสารให้ทุกคนได้รู้ว่าเราทำอยู่ แค่นั้นเอง แต่อยากให้รู้ว่า บีมไม่ได้ทำงานนี้แค่หวังค้าขาย แต่เพราะมีคนต้องการของและบริการจากคนที่เข้าใจเรื่องสิวอยู่มากมาย บีมแค่ต้องการตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ บีมอยากช่วยคนกลุ่มนี้ หาของดี ๆ มาให้เขา เพราะบีมเคยเจอปัญหา เขียนแต่บล็อก แต่ตัวเองไม่รู้จะใช้หรือแนะนำผลิตภัณฑ์อะไรให้คนอื่นที่ตามบล็อก เคยแนะนำไปแล้วเขาใช้ไม่ดี ไม่ได้ผล มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่บีมหันมาทำเอง ขายเองจะดีกว่าไหม เพราะรู้ที่มาที่ไป อีกอย่างบีมก็ใช้แต่ของตัวเองจริง ๆ มีเคยเทสต์ใช้ของยี่ห้ออื่น ลองซื้อของยี่ห้ออื่นมาใช้ตอนของเราขาด Stock บีมบอกตามตรงว่าไม่ชอบเหมือนของตัวเองจริง ๆ

บีมรู้ว่าคนเราหลากหลาย คิดอะไรได้ต่างกัน บีมเองก็ยังเป็น เห็นใครไม่ถูกชะตา ก็อคติไปก่อนแล้ว ปุถุชนธรรมดาก็เป็นแบบนี้ทุกคน บีมเข้าใจ และไม่ว่าจะเข้าใจบีมและเจตนาของบีม และทุกการกระทำของบีมว่าอย่างไร บีมก็รู้ตัวเองดีว่า "ทำอะไรอยู่" ในทุกย่างก้าวของการทำงานของบีมและการดำเนินชีวิตของตัวเองเสมอ อะไรก็สั่นคลอนไม่ได้แน่นอนค่ะ

ฝากไว้เท่านี้ เผื่อผู้กด Like ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักตัวตนของบีมด้วยน่ะค่ะ

นี่แหละตัวตนที่แท้ค่ะ เป็นคนธรรมดา ๆ ที่อยากทำดี เพราะชีวิตเคยทำไม่ดีมาตลอด 25 ปี เราก็อยากทำอะไรดี ๆ ฝากไว้กับโลกนี้บ้างค่ะ

บีม

Sunday, November 4, 2012

อาหารที่ควรกินและไม่ควรกิน


ทำลักษณะคำถามคำตอบนะคะ....


น้องหวาน : พี่บีมคะ หนูมีคำถามเพิ่มเติมค่ะ คือ หนูอ่านข้อมูลของพี่และดูคลิปวิดีโอหนูก็ยังจับจุดไม่ถูกค่ะว่า หนูควรมีหลักเกณฑ์ในการเลือกทานอาหารอย่างไรดีคะ เพราะดูจะเยอะไปหมดเลย


บีม : ถ้างง ๆ นะคะ พี่ให้หลักเริ่มต้นก่อนนะคะ 
1.     งดอาหารที่ก่อโทษ
2.     งดอาหารที่เราแพ้
3.     เลือกทานอาหารที่สด สะอาด ไม่แปรรูป มีรสและรูปจากธรรมชาติให้มากที่สุด หากจะปรุง ก็ปรุงด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้น ๆ และให้อาหารนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วยังคงมีสารอาหารหรือคุณสมบัติทางยาอยู่ค่ะ

อาหารที่ก่อโทษ หมายถึง อาหารที่ตรงข้ามกับข้อ 3. เลยค่ะ คือ อะไรก็ตามที่กินแล้วร่างกายไม่รับ ถือว่าเป็นของแปลกปลอมและเอาไปใช้ไม่ได้มาก หรือเป็นอาหารที่ถ้าทานแต่น้อยไม่เป็นไร แต่ถ้าทานเป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมได้ค่ะ

ตัวอย่างอาหารก่อโทษนะคะ

1.     อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเกือบทุกอย่างยกเว้นการแช่แข็ง (Freeze) ซึ่งเป็นการคงความสดของอาหารโดยผ่านความเย็นมาก ๆ นอกเหนือจากนั้นมักจะใส่สารกันเสียและสารปรุงแต่งเพื่อให้อาหารนั้นคงอยู่บนหิ้ง (shelf) ได้นานค่ะ แต่ถ้าเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไม่ได้จริง ๆ อย่างเวลาพี่เองเดินทางแล้วหิวแล้วไม่ได้เตรียมอะไรไปกิน พี่จะมีหลักการเลือกแบบนี้ค่ะ

- เลือกที่เขียนว่าไม่มีสารกันบูด สารกันเสีย ก่อนเลย
- เลือกที่ไม่มีผงชูรสหรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ (หลัก ๆ เลยจะเป็นโมโนโซเดียมกลูตาเมตค่ะ)
- คราวนี้ไปดูที่ตารางส่วนผสมค่ะ อะไรที่มีโซเดียม ไขมันชนิด Trans น้ำตาลที่สูงเกิน 20 และไขมันอิ่มตัวมากเกินไป พี่จะคัดออกค่ะ 
- ส่วนใหญ่เวลาไปร้านสะดวกซื้อ พี่จะซื้อนมถั่วเหลืองแลคตาซอยค่ะ เพราะพี่ไม่แพ้ กินแล้วอิ่มดี (ซึ่งพี่เคยบอกทางหน้าเพจว่านมถั่วเหลืองย่อยยากและไม่ดี แต่คือพี่สังเกตตัวเองว่าพี่ไม่มีปัญหากับมันนะคะ และเป็นยี่ห้อเดียวที่พี่รู้สึกว่าถูกปากพี่ กินแล้วอิ่มท้องค่ะ ยี่ห้ออื่นทำไซส์เล็กไปค่ะ พี่กินไม่อิ่ม หุหุ แต่น้ำตาลสูงค่ะ กินเยอะไปก็สิวอุดตันขึ้นได้ค่ะ ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มรักษาตัวเองเท่าไหร่ค่ะ แต่เลือกสูตรน้ำตาลน้อยได้ค่ะ คือ เรื่องนมก็แล้วแต่ใครจะชอบยังไงค่ะ ก็เลือกกันเองค่ะ โดยดูที่น้ำตาลกับไขมันอิ่มตัวเป็นหลักค่ะ แต่คนผอมอยู่แล้วอย่าไปเลือกน้ำตาลที่ต่ำกว่า 10 กรัมนะคะ พี่เคยกินแล้วผอมมากมายเลย เอาเป็นว่าไม่เกิน 20 กรัมกำลังดี และถ้าเป็น % ก็ลองคำนวณออกมาเองนะคะ โดยเอาปริมาตรหรือมวลรวมของนมหรือเครื่องดื่มนั้น ๆ มาคำนวณให้เป็นหน่วยกรัมอีกทีค่ะ แล้วจะทราบว่ามีน้ำตาลเท่าไหร่  ทำไมถึงไม่ให้กินหวานหรือน้ำตาลเยอะ อ่านที่นี่นะคะ สาเหตุของสิวแบบเจาะลึก 1: ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งมากเกินไป

สาเหตุที่เขาเป็นอาหารก่อโทษก็เพราะ

สารกันบูด กันเสีย ผงชูรสและสารปรุงแต่งอื่น ๆ  - ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ตับต้องไปแยกสลาย ซึ่งในกระบวนการแยกสลายก็อาจเป็นพิษต่อตับได้อีกค่ะ ถ้าตับอ่อนแออยู่แล้ว กระบวนการแยกสลายและลดพิษของตับไม่สำเร็จ พิษนี้จะเข้าสู่เลือดแล้วไหลวนไปทำร้ายเซลล์ทั่วร่างกายได้กว่าจะถูกไตไปคัดกรอง (ทำให้ไตทำงานหนักอีกถ้ากินของผ่านกระบวนการเยอะ) แล้วขับออกทางปัสสาวะ ซึ่งถ้าใครทานยามาเยอะ หรือทำงานหนักจนไตเสื่อมแล้ว การคัดกรองสารพิษก็ทำได้น้อยค่ะ พิษก็ไม่รู้จะไปออกทางไหน ก็ออกมาทางผิวนั่นแหละค่ะ

โซเดียม - จริง ๆ แล้วเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการค่ะ เวลาบีมเลือกจะเลือกที่ดีที่สุดไม่เกิน 30 กรัม ยังพอหยวน ๆ คือ 50 กรัม ค่ะ ขนมบางยี่ห้อ และของกินหลายอย่างโซเดียมเกือบ 1,000 ค่ะ ยิ่งพวกของแห้งนี่จะตัวดีเลย ถ้ายิ่งมีรสเค็มนี่ก็ให้สังเกตโซเดียมก่อนเลยค่ะ ทะลุฟ้า การทานโซเดียมมากไปทำให้ไตทำงานหนักค่ะ ลองค้นใน Google ด้วยคำว่า "โซเดียม บวมน้ำ" เพื่อศึกษาข้อมูลของผลเสียของโซเดียมที่เราได้รับมากเกินไปดูค่ะ

ไขมันทรานซ์ (Trans) - เป็นไขมันแปรรูปค่ะ เป็นอีกตัวที่ร่างกายไม่ต้องการ เอาไปใช้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ http://www.depthai.go.th/dep/doc/52/52002887.pdf

ไขมันอิ่มตัว - จริง ๆ แล้วไขมันนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยกับร่างกายถ้ารับในปริมาณพอเหมาะและคนที่รับนั้นต้องสุขภาพดี ระบบย่อยสมบูรณ์ด้วยค่ะ แต่คนสมัยนี้ทานไขมันอิ่มตัวกันเยอะโดยไม่รู้ตัว และรับมากเกินไปจึงทำให้การรับเพิ่มนั้นเกิดปัญหา ร่างกายถือว่าเป็นส่วนเกินที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ค่ะ

น้ำตาล  - พูดถึงไปแล้วนะคะ อ่านในลิงค์ที่ให้ค่ะ และบีมสรุปอีกทีว่า ทานน้ำตาลทำให้อ้วน เป็นสิวอุดตัน หน้ามันและผิวเหี่ยวเร็วค่ะ มันคือเพชรฆาตทางสุขภาพเลยค่ะ อ่านบทความของแพทย์ศาสตร์ชะลอวัยเยอะ ๆ ค่ะ เขาจะพูดถึงข้อเสียของน้ำตาลต่อสุขภาพเยอะมากค่ะ

ไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว อย่างไหนที่ร่างกายต้องการ

2.     อาหารที่ผ่านเตาอบไมโครเวฟ มีข้อถกเถียงกันว่าอาหารที่ใช้เตาไมโครเวฟนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แต่จากที่นก (ที่ปรึกษา freelance ของเรา) ทดลองเปลี่ยนจากการใช้เตาไมโครเวฟมาทำอาหารเองโดยซื้อกระทะไฟฟ้า เธอยืนยันว่าการใช้เตาไมโครเวฟทำให้อาหารนั้นทำลายสุขภาพ คลื่นที่ไปกระทบอาหารทำให้โมเลกุลอาหารเปลี่ยนแปลง ทำให้อาหารนั้นกลายเป็นอาหารย่อยยาก ซึ่งพอนกเปลี่ยนมาทำอาหารเองแม้จะใช้เวลาไม่นาน (และเธอก็อยู่อพาร์ทเมนต์นะคะ เมื่อก่อนก็ซื้อนอกบ้านทานและใช้เตาอบค่ะ ตอนนี้เปลี่ยนเพื่อสุขภาพค่ะ และผลคุ้มค่าค่ะ) นกสามารถแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้จากการที่เริ่มมาทำอาหารทานเองค่ะ และเธอยังมีข้อมูลอีกว่า เธอสังเกตน้องที่ทำงานคนหนึ่ง จะทานอาหารสำเร็จรูปที่ต้องอุ่นจากเตาไมโครเวฟที่ร้านสะดวกซื้อตลอดค่ะ จากคนหน้าใสไม่เป็นสิวเลย ทานแบบนี้ไปสักพักใหญ่ ผิวก็หมองลงและเป็นสิวค่ะ และผู้ที่ดูแลสุขภาพตามแนวธรรมชาติ เขาก็เลิกใช้เตาไมโครเวฟกันแล้วค่ะ เขาจะทานอาหารปรุงสดกันมาก ๆ ค่ะ อาหารค้างคืนจะไม่ค่อยทานกัน ถ้าจะอุ่นก็ใช้ไฟจากเตาเอาค่ะ
3.     อาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบไม่มีคุณภาพและไม่มีอนามัยที่ดี อันนี้ต้องเลือกร้านกันหน่อยนะคะ เลือกที่สะอาด ให้เรารู้ว่าวัตถุดิบเขาเอามาจากไหนยังไงได้ยิ่งดีค่ะ ถ้ายิ่งเราได้เห็นว่าเขาล้างผักยังไง คือรู้ไปถึงรายละเอียดยิ่งดีค่ะ เพราะเราฝากชีวิตไว้กับมือคนอื่น เราควรต้องรู้มากที่สุดว่าเรากำลังกินอะไรเข้าไปค่ะ

ยกตัวอย่างเช่น
- ผักผลไม้ที่มีสารปนเปื้อนเต็มไปหมด แต่ล้างไม่สะอาดแล้วเอามาใส่จานผักสดให้เราทานกัน (ถ้าบีมทานส้มตำนอกบ้าน จะไม่ทานผักสดที่ให้มาด้วยค่ะ)
- ร้านขายอาหารบางร้านจะเอาของเก่ามาทอดน้ำมันเก่าซ้ำอีกเพื่อเอาขายในวันถัดไป ใครที่ใส่ใจในสุขภาพและทานของสดสะอาดเป็นประจำ จะรู้ได้ทันทีว่าของนั้นเก่าหรือไม่ค่ะ ลิ้นจะบอกและร่างกายจะไม่อยากรับเลยค่ะ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เลือกทาน จะไม่ทราบค่ะ เราไม่ได้ทำตัวให้อยู่ยากนะคะ แต่ถ้าเราอยากมีอายุยืนเพื่อทำประโยชน์ได้ต่อไป เราก็ต้องเลือกให้เป็นค่ะ เลือกร้านที่ทำของสะอาด ทิ้งวันต่อวัน ไม่เอาของเก่ามาขายต่อค่ะ
- ยิ่งถ้าใครชอบทานพวก หมูกระทะ ยิ่งต้องเลือกร้านค่ะ เพราะหนูต้องคิดว่า เนื้อปริมาณมากในแต่ละวันนั้นเขาเอามาจากไหนกันเยอะแยะ แล้วเราเห็นวิธีการเชือดเนื้อมั้ย ล้างสะอาดมั้ย สัตว์นั้นสุขภาพดีมั้ย หรือสัตว์อะไรก็ได้เอามาเชือดให้เรากิน แล้วเขาจะคัดคุณภาพมาให้หนูรึเปล่าคะ เริ่มต้นถามคำถามแค่นี้ ก็น่าจะทำให้เราระมัดระวังในการทานของเหล่านี้มากขึ้นค่ะ 
4.     อาหารที่มีแบคทีเรียและเชื้อโรคปนเปื้อน อาหารเหล่านี้มักมีการบูดเน่าประกอบด้วย อาจจะเป็นผักเก่า เนื้อเก่า ของเก่าเอามาทำให้เราทาน หรือผู้ประกอบอาหารล้างภาชนะไม่สะอาด ล้างมือไม่สะอาด เป็นโรคบางอย่าง และที่ต้องระวังก็คือไวรัสตับอักเสบค่ะที่มักจะมาพร้อมกับน้ำและอาหาร คนไทยเราอาจจะอยู่ในโซนที่มีเชื้อโรคเยอะเพราะอยู่เขตร้อน ทำให้มีภูมิต้านทานมากกว่าฝรั่ง แต่ถ้าฝรั่งเขามาที่เมืองไทย สิ่งที่เขาต้องระวังคืออาหาร พี่เคยมีเพื่อนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและมีเพื่อนต่างชาติมาทำงานที่ไทย สังเกตว่า เขาจะค่อนข้างต้องระวังอาหารค่ะ ส่วนใหญ่จะเลือกทานอาหารปรุงสุก และเขาจะไม่ใช้หลอดแต่จะดื่มจากขวดเลย เขาว่าหลอดสกปรกและเชื้อโรคเยอะค่ะ แต่ถ้าหลอดที่ใส่ในซองแบบนั้นเขาถึงจะใช้ค่ะ แต่พวกเราถ้าไม่เลือกทาน ไม่เลือกร้าน โอกาสรับเชื้อเข้าไปในร่างกายมีมากมายค่ะ ถ้าสุขภาพดีและทุกอย่างสมดุลก็ดีไปค่ะ แต่ถ้าเชื้อน้ันแรงและสุขภาพเราแย่ด้วย จะทำให้ป่วยหนักได้ค่ะ และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นิเวศวิทยาในลำไส้เสียสมดุลไปด้วยค่ะ คือ เชื้อร้ายมีมากกว่าเชื้อดี ซึ่งคนเป็นสิวตัวร้าย ๆ มีอยู่ในลำไส้มากกว่าอยู่แล้วค่ะ แนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับโรคลำไส้รั่วซึมได้ที่นี่ค่ะ http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/2/

5.     อาหารที่ใช้น้ำมันเก่าทอดซ้ำ น้ำมันใช้ประกอบอาหารได้เพียงครั้งเดียวค่ะแล้วต้องทิ้ง เพราะในน้ำมันที่ใช้แล้วนั้นจะมีอนุมูลอิสระที่ทำร้ายเซลล์เราอยู่แล้วค่ะ คือ ถ้าเอามาใช้ต่อก็ยิ่งเป็นพิษไปอีกไม่สิ้นสุด ถ้าเราไปทานอาหารตามร้าน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาใช้น้ำมันอะไรและเขาจะใช้น้ำมันใหม่ทุกครั้งหรือไม่คะ คำตอบคือไม่ใช่ค่ะ พี่แม็ค (สามีบีมผู้ชื่นชอบด้านอาหารและเคยเปิดร้านอาหาร) บอกว่า ถ้าร้านทั่วไปแล้วเขาจะใช้น้ำมันมากกว่า 1 ครั้งค่ะ และส่วนใหญ่ก็ใช้น้ำมันปาล์มกันค่ะ เพราะราคาถูก แต่ติดผนังลำไส้หนึบ ๆ เลย ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับลำไส้ของเราเมื่อทานของทอดน้ำมัน ก็ให้ดูผนังบ้านบริเวณที่ใช้ประกอบอาหารสิคะ คราบดำ ๆ นั้นล่ะค่ะ ที่มันจะไปอยู่ในลำไส้ของเราค่ะ แล้วเคลือบลำไส้ ทำให้การดูดซึมน้ำและอาหารไม่ดี กินเท่าไหร่ก็ไม่ได้อาหารและน้ำเท่าที่ร่างกายต้องการค่ะ ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารและร่างกายจะดูเหี่ยว ๆ ขาดน้ำ เพราะเขารับน้ำจากภายนอกมาไม่ได้มากนัก ต้องดึงเอามาจากเซลล์ในร่างกายเอง อ่านเกี่ยวกับ "ภัยน้ำมันทอดซ้ำ" บทความโดยกระทรวงสาธารณสุขได้ที่นี่ค่ะ https://docs.google.com/open?id=0B7eIXMJehgzJamhQS2tveGNKMU0
          อาหารก่อโทษหลัก ๆ ที่เราพบในชีวิตประจำวันคงมีเท่านี้ค่ะน้องหวาน ต่อมาพี่จะอธิบายเกี่ยว  
          กับอาหารที่เราแพ้นะคะ

     6.    อาหารที่เราแพ้ พูดง่าย ๆ คือ อาหารที่ร่างกายของเราไม่ถูกกับเขา ร่างกายเราต่อต้าน แต่คน
         อื่นอาจไม่ต่อต้านค่ะ โดยร่างกายเราจะมีปฏิกิริยากับอาหารหรือสารในอาหารชนิดนั้น ๆ มากกว่า
         คนอื่น ๆ ค่ะ 
จากประสบการณ์ของตัวพี่เองและจากที่สังเกตคนเป็นสิวมามากมาย พบว่าอาหารที่
         คนเป็นสิวจะแพ้ ซึ่งอาการแพ้อาจไม่ได้เกิดภายในวันนั้นค่ะ บางคนทานไปแล้ว วันนั้นเหมือน

         ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อีก 2 วันถัดไปพบว่ามีสิวขึ้นได้ค่ะ เขาเรียกว่าแพ้อาหารแฝงค่ะ ภาษา  
         อังกฤษจะใช้คำว่า Delayed Food Allergy ค่ะ ซึ่งคนอาจจะสังเกตไม่ค่อยได้ค่ะว่าเขาแพ้อาหาร
         อะไรหากเกิดอาการแพ้ลักษณะนี้ค่ะ เพราะมันไม่แสดงทันที แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะ
         แพ้อาหารแฝงที่นี่ค่ะ http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/3/
         พี่มองว่ามันเป็นโรคของคนยุคใหม่ค่ะ ยุคปู่ย่าตายายเราคงไม่มี ทั้งนี้เพราะสมัยนี้พิษรอบตัวมัน
         เยอะเกินไปค่ะ และเราไม่ทันระวังตัว เราก็รับพิษมาเต็มสตีมเสียแล้ว คราวนี้ภูมิคุ้มกันเราก็จะระ
         แวดระวังอะไรมากกว่าปกติ ทำให้อะไร ๆ ก็ดูจะแพ้ไปหมดค่ะ คือ เขาเห็นอะไรแปลกปลอมหน่อย
         ก็จับเลย มีปฏิกิริยาเลย ทั้งที่เมื่อก่อนมันเป็นตัวที่เขาไม่สนใจจะจับ จากข้อมูลที่พี่เก็บมาจาก
         ลูกค้านะคะ พบว่า คนเป็นสิวจะมีอาการแพ้อะไรเหมือน ๆ กัน เหมือนอย่างที่คุณหมอด้าน
         ธรรมชาติเตือนเอาไว้เรื่องอาหารสำหรับคนเป็นสิวค่ะ


คนเป็นสิวมักจะมีแนวโน้มแพ้สิ่งต่อไปนี้...

1.     นมวัวและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจากนมวัว - นมวัวหนูคงทราบดีอยู่แล้วค่ะว่าคืออะไร แต่ผลิตภัณฑ์จากนมวัวและมีนมวัวเป็นส่วนผสม ยกตัวอย่างเช่น เนยแข็ง เนย ชีส ไอศครีมบางประเภท ขนมกรุบกรอบ ช็อคโกแลต (ลองพลิกส่วนผสมดูนะคะ ต่อไปนี้ทานอะไรก็ให้ดูฉลากค่ะ) เบเกอรี่นมสด อะไร ๆ ที่เป็นนมสดค่ะ ส่วนใหญ่ก็ใช่ทั้งนั้น แม้จะเขียนว่านมเพื่อสุขภาพ แต่เพื่อสุขภาพใคร...เอ่ย...สุขภาพเราหรือเปล่า พี่มองว่าเป็นแค่คำทางการตลาดค่ะ เพราะลำพังแค่ใส่น้ำแข็งก็ทำลายสุขภาพแล้ว ไม่ต้องนับนม


2.     เบเกอรี่ ข้าวขาว ข้าวเหนียว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นมะกะโรนี - พี่จัดให้เป็นของประเภทเดียวกันเพราะเรามักจะทานสิ่งเหล่านี้ในมื้อหลักช่วงกลางวันหรือไปนอกบ้าน เวลาที่เราต้องกินอาหารนอกบ้าน พวกนี้จะหาง่ายมากค่ะ แต่ข่าวร้ายคือ คนเป็นสิวมักจะแพ้สิ่งเหล่านี้ค่ะ พวกนี้มีอะไรเหมือน ๆ กันคือ กลูเทนค่ะ ซึ่งคนเป็นสิวจะแพ้ตัวที่ชื่อ กลูเทนซึ่งเป็นสารที่อยู่ในสิ่งเหล่านี้นั่นเองค่ะ ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Gluten หรือ กลูเทน ได้ใน Google นะคะ (คือไม่ใช่อะไรค่ะ ตัวพี่เองสังเกตว่ากิน 4 ตัวนี้ทีไร มีสิวอุดตันหรือหัวขาวขึ้นทุกทีค่ะ อาจไม่ขึ้นวันนั้นค่ะ แต่ขึ้นแน่ ๆ เพราะร่างกายไม่เอาค่ะ ขับออก พอขับออกแล้วก็จะหายค่ะ ลำดับนะคะ ถ้าเป็นเบเกอรี่ จะเกิดอาการไม่สบายตัวอย่างเร็วค่ะ เกิดภาวะร้อนเกินทันทีเลยล่ะ ต้องแก้ด้วยน้ำมะนาวอุ่น ๆ หรือดื่มน้ำย่านางสกัดแก้พิษร้อนทันทีค่ะ จึงจะรู้สึกดีขึ้น ส่วนที่กินแล้วมีอาการตอบสนองรองมาคือ เส้นมะกะโรนี รองมาก็คือก๋วยเตี๋ยว ข้าวเหนียวและข้าวขาวค่ะ ถ้าช่วงไหนกินพวกนี้้ สิวอุดตันมีแน่ค่ะ สำหรับพี่นะคะ ก็ทำใจไว้รอค่ะ แต่สำหรับพี่มันมาแล้วมันก็ไปค่ะ ไม่ขึ้นมาอักเสบถ้าเราไม่ใส่ปัจจัยแห่งการอักเสบเพิ่มค่ะ เช่น นอนดึก เครียด กินอาหารฤทธิ์ร้อนซ้ำเติมเข้าไปอีก เป็นต้นค่ะ)


3.     เนื้อสัตว์ ไข่ - อันนี้ได้ข้อมูลจากนกค่ะว่าถ้าใครแพ้นมวัวแล้ว ก็มีโอกาสจะแพ้โปรตีนอย่างอื่นด้วย ก็ให้สังเกตค่ะว่ากินเนื้ออะไรแล้วไม่สบายตัว สำหรับพี่แล้ว พี่ทานเนื้อปลาได้สบายค่ะ เนื้อไก่พอไหว (ก็พึ่งมากินตอนท้องนี่ล่ะค่ะ) แต่ที่ไม่ไหวเลย ร้อนในมาก ๆ คือ เนื้อหมูขึ้นไปค่ะ ส่วนไข่พี่ทานได้ค่ะ ตรงนี้ต้องสังเกตกันเอาเองค่ะว่าเราแพ้เนื้ออะไร แพ้ไข่รึเปล่าค่ะ อาการที่พี่ให้สังเกตว่าแพ้คือ กินแล้วมักจะรู้สึกร้อนใน กระหายน้ำ อึดอัด หายใจไม่ค่อยออกหลังมื้อนั้น ๆ ค่ะ คือ เวลาเทสต์อาหารพยายามเทสต์ทีละอย่างค่ะ อย่าไปกินหลายอย่างรวมกัน จะได้ทราบว่าแพ้อะไร มันดูลำบากในการกินแค่ตอนแรก ๆ ของการดูแลตัวเองค่ะ แต่ผลจากการที่เราทราบว่าเราแพ้อะไร แล้วจะได้เลี่ยงไป มันจะคุ้มค่ามาก ๆ เลยค่ะ


4.     อาหารผัด ๆ ทอด ๆ ด้วยน้ำมัน - อันนี้พี่ก็มีปฏิกิริยาค่ะ แต่จะออกแนวท้องอืดและมีอาการเรอเพราะอาหารไม่ย่อยมากกว่าค่ะ ใครเป็นสิวมักย่อยไขมันไม่ดีค่ะ ยังไงเลี่ยงไปใช้เทคนิคผัดด้วยน้ำจะดีกว่าค่ะ ส่วนน้ำมันถ้ากลัวจะขาดก็ลองเทสต์ดูว่าเราทานน้ำมันสกัดเย็น (cold pressed) ที่สกัดจากอะไร เช่น จากมะพร้าว จากรำ จากงา แล้วเรารู้สึกไม่มีปัญหา รู้สึกสุขภาพดีขึ้น ก็ทานอันนั้นค่ะ เลือกมาสัก 2-3 ประเภท อันนี้หมดก็เปลี่ยนค่ะ จะได้รับกรดไขมันหลากหลายค่ะ วันนึงก็อย่าไปทานเยอะค่ะ สักไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะก็พอ ถ้ามีสิวอุดตันขึ้น มีอาการปวดหัวไมเกรน เรอ ก็ให้ลองลดปริมาณลงหรือพักการทานน้ำมันไปก่อนค่ะ แม้จะเป็นสกัดเย็นก็ตาม หรือลองเปลี่ยนประเภทน้ำมันดูค่ะ สำหรับพี่ถ้าทานน้ำมันสกัดเย็นไม่มีปัญหาค่ะ ไม่เหมือนอาหารผัด ๆ ทอด ๆ ค่ะ ส่วนใหญ่พี่จะทานน้ำมันมะพร้าวค่ะ น้ำมันงาบ้างค่ะ น้ำมันมะกอกทานแค่ตอนที่ล้างพิษตับค่ะ   หลัก ๆ แล้วอาหาร 2 กลุ่มนี้ล่ะค่ะ ที่ควรต้องงดไปเลย ไม่มีข้อแม้ 


น้องหวาน : ดูมันเยอะจังค่ะพี่บีม หนูรู้สึกว่าหนูคงงดหมดนี้ไม่ได้แน่ ๆ เพราะแถวหอพักหนูเลือกอะไรไม่ค่อยได้เลยค่ะ


บีม : พี่เข้าใจค่ะน้องหวาน ว่าเราหาทานอะไรเพื่อสุขภาพยาก เพราะอาหารที่วางขายทั่วไปนั้นไม่ได้ทำมาเพื่อสุขภาพแต่เพื่อให้คนบริโภคทั่วไปค่ะ แต่อย่างน้อย ขอให้หนูได้ตระหนักและรู้หลักการเลือกอาหารมากขึ้นค่ะ และลองหาวิธีดูว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร ทำอาหารกินเองด้วยกระทะไฟฟ้าเหมือนพี่นกได้ไหม บางคนเขาก็เลือกวิธีว่า ซื้อวัตถุดิบไปให้แม่ค้าเขาทำให้ เขาก็เลือกเจ้าที่ไว้ใจค่ะ คือ ยังไงก็มั่นใจว่าได้กินของดีเพราะเราหามาให้เองเป็นต้นค่ะ 

       ถ้าเราบล็อคตัวเองตั้งแต่ต้นว่า "ทำไม่ได้แน่" เราจะไม่พยายามหาทางก่อนค่ะ เราจะปิดความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของตัวเองไปเสียก่อน
พี่แนะนำว่า เราลองเปิดใจค้นหาวิธีโดยถามตัวเองว่า "เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้เราได้ทานอาหารที่ดีขึ้น" แล้วจะพบว่ามันมีทางแก้ปัญหาอยู่ค่ะ เหมือนที่เขาพูดว่า If there is a will, there will be the way. ค่ะ พี่เองก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ

       ทุกวันนี้พี่ก็ใช่ว่าจะเลือกอาหารได้ 100% นะคะ ไปนอกบ้าน บางทีก็ต้องไปร้านสะดวกซื้อค่ะ แต่พี่จะใช้หลักเกณฑ์ที่สอนหนูนี้แหละในการเลือกของค่ะ เอาของมีพิษเข้าตัวน้อยสุด เมื่อก่อนพี่ชอบทานข้าวกล่องสำเร็จรูปที่ใส่ไมโครเวฟมากค่ะ พอมารู้ข้อมูลจากนก พี่ก็เลิกเลยค่ะ ไม่ได้แอ้มเงินพี่เลยข้าวกล่องพวกนี้ พี่ไปทานแซนด์วิชแช่เย็นแทนค่ะ แม้มันจะเย็นหน่อยและโซเดียมสูงมาก (400 ได้ พี่เห็นวันนั้นค่ะ) แต่มันก็ดีกว่าการกินขนมปังที่ใส่สารกันเสีย สารปรุงแต่ง เนยเทียมและอะไรต่อมิอะไรมากกว่าค่ะ และก็ดื่มนมให้อิ่มค่ะ พี่ก็เลือกแลคตาซอยเป็นต้น

       หรืออยู่บ้าน พี่เองก็งานยุ่งค่ะ ไม่มีเวลาฝึกทำอาหารกินเองเลย ทุกวันนี้ส่วนใหญ่พี่แม็คกับแม่จะเป็นคนทำค่ะ อาหารผัดทอดก็หลายมื้ออยู่ค่ะ แต่พี่ดูแลตัวเองมา 3 ปีแล้วค่ะ ดังนั้น ผลกระทบของสิ่งเหล่านี้ต่อร่างกายจะน้อยลงไปมาก ๆ ค่ะ หรือแม้ว่าพี่กินสปาเกตตี้ที่พี่แม็คทำ (ซึ่งมันเป็นเมนูโปรดของพี่เมื่อก่อน และพี่แม็คเขาก็ทำอร่อยค่ะ ไม่กินเดี๋ยวเขาเสียใจ) พี่ก็กินแบบ enjoy ค่ะ เพราะคนทำเขามีความสุขทำให้ แต่พี่ก็ต้องยอมรับผลว่าอีก 2 วันสิวอุดตันขึ้นค่ะ และหลังจากมื้อนั้นพี่ก็จะไม่แตะอะไรที่เป็นของไม่ดีต่อร่างกายหรือของที่พี่แพ้เพิ่มเติมค่ะ ก็จะไปทานเฉพาะผักผลไม้หรืออะไรที่เรากินแล้วไม่มีปัญหา ถ้าผลไม้ก็เอาแบบเส้นใยสูง ๆ ค่ะ มันจะได้ช่วยล้างไขมัน และตอนนี้พี่ก็ทาน probiotics แบบน้ำสกัดด้วยค่ะ มันก็ช่วยพี่ย่อยของเสียตกค้างได้ระดับหนึ่งและกระตุ้นภูมิคุ้มกันค่ะ คือ พี่ก็จะมีทริคของพี่ดูแลตัวเองระหว่างนี้ไปค่ะ สิวขึ้นก็ใช้ตัวรักษาสิวของ MarryBeam นี่แหละ ใส่เข้าไปค่ะ ก็รักษาไปตามอาการ เดี๋ยวมันก็หายค่ะ 

       คือ อยากให้กำลังใจว่า พี่เองก็ไม่ได้เป๊ะ 100% ค่ะ แต่พี่ให้หลักการที่รวบรวมมาจากประสบการณ์และความรู้ที่ผ่านมาสำหรับมือใหม่ได้ดังที่เขียนไปแล้วค่ะ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เรายังงม ๆ ยังทดลองหาอยู่ว่าชั้นกินอะไรได้ไม่ได้บ้าง และช่วงร่างกายปรับตัว ช่วงนั้นมันเยอะและหนักที่สุดค่ะ แต่ถ้าเราหมั่นจดบันทึก หมั่นสังเกตตัวเอง ว่าอะไรที่ดีหรือไม่ดีต่อร่างกายของเรา รับแล้ว ทานแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร จด จด จด สักพักเราก็จะมีแนวทางดูแลสุขภาพเป็นของตัวเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องงงกับข้อมูลสุขภาพอันมากมาย และหลายอย่างก็เถียงกันไม่จบเสียทีค่ะ รู้จักสังเกตและดูแลตัวเองอย่างมีหลักเกณฑ์นี่แหละที่ดีที่สุดค่ะ เรารู้จักตัวเองมากที่สุดค่ะ

น้องหวาน : โอเคค่ะพี่บีม หนูจะลองพยายามดูนะคะ สรุปว่า หนูต้องพยายามจำให้ได้ว่าอาหารอะไรควรงดหรือหลีกเลี่ยงไปนะคะ หมั่นสังเกตร่างกายตัวเองว่าแพ้อะไร ไม่ถูกกับอะไร ก็ให้จดและงดไป ถูกต้องนะคะ

บีม : ใช่ค่ะน้องหวาน อีกข้อที่ควรจำคือ หนูควรทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ฝืนใจ คือ เข้าใจว่าทำไปทำไม ทำแล้วมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ควบคุมหรือบังคับตัวเองนะคะ แต่พิจารณาให้เห็นประโยชน์ก่อนค่ะแล้วจึงทำ แล้วมันจะกลายเป็นนิสัยของหนูไปเลยค่ะ ที่จะเลือกแต่ของที่มีประโยชน์โดยอัตโนมัติและเวลาที่คนรอบข้างเขาหัวเราะเรา เราจะไม่หวั่นไหวง่ายค่ะ เพราะเรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ถ้าเราทำแบบไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร รู้แต่ว่าอยากสิวหายและฉันห้ามกินอันนี้อันนั้นเพราะพี่เขาบอกมาแบบนั้น คือ ไม่พิจารณาให้เห็นโทษหรือประโยชน์ด้วยตัวเองก่อน เวลาที่โดนคนอื่นถาม หัวเราะ เราจะโกรธทันทีเลยค่ะ และท้อขึ้นมาทันควัน จิตตกเร็วมากมายค่ะ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาสิวเลยค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเลิกไปในที่สุดค่ะ แล้วกลับเข้าวงจรเดิม

      อ้อ อีกอย่างค่ะ คนที่รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติแบบนี้คือปล่อยให้ร่างกายดูแลตัวเองโดยที่เรางดรับสิ่งเป็นพิษ ล้างพิษ และรับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าไปช่วง 3 เดือนที่ร่างกายเริ่มสะอาดและภูมิคุ้มกันกลับมาดีขึ้นแล้ว เราจะเร็วต่ออาหารที่เป็นโทษและเราแพ้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ๆ นะคะ คือ จะรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ เรากำลังแข็งแรงขึ้นค่ะ ให้ปฏิบัติต่อไปค่ะ เพราะหลังจากที่สิวเราหายดีแล้ว หรือดีขึ้นมากแล้ว เราก็จะเริ่มทานอาหารทั่ว ๆ ไปสัก 1 วันค่ะ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันและระบบกำจัดของเสียทำงานเป็นระยะ ๆ ค่ะ พอเขาทำงานเก่งขึ้นแล้ว เราก็จะมีความทนทานต่ออาหารทั่ว ๆ ไปมากขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้กลับไปมีชีวิตแบบตอนที่เป็นสิวค่ะ แต่เราใช้วิธีนี้เพื่อฝึกให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ทำงานและแข็งแรงค่ะ ไม่ใช่กินอะไรแล้วก็แพ้เหมือนเดิมและสิวก็ยังขึ้นง่ายค่ะ แต่ต้องรอให้สิวหายดีก่อนค่ะ จึงจะเริ่มทำได้ และถ้าเรากลับไปปล่อยตัวเหมือนเดิม สิวก็กลับมาอีกค่ะ เพราะเราใส่เหตุเดิมของการเป็นสิวเข้าไปค่ะ ก็เป็นเรื่องของเหตุและผลตามธรรมชาติค่ะ และคนเป็นสิวยังไงก็มีแนวโน้มขับพิษเป็นสิวหรือผิวหนังค่ะ คนไม่เป็นสิวก็จะไม่เป็นสิว แต่ก็ไม่เสมอไปค่ะ เพราะพี่ได้ฟังจากหลายท่าน ได้เห็นหลายคนว่า แต่ก่อนไม่เป็นสิวเลย แล้วมาเป็นในวัยผู้ใหญ่เพราะไม่ดูแลสุขภาพให้ดีมาเป็นเวลานานค่ะ เคสนี้จะเห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ 

       และอีกอย่าง ถ้ายิ่งช่วงล้างพิษและหลังล้างพิษ ห้ามทานเลยค่ะของที่เป็นโทษและกระตุ้นการแพ้ค่ะ ให้ทานเฉพาะของมีประโยชน์เท่านั้นค่ะ เพราะช่วงนั้นร่างกายจะสะอาดมากและไวมากต่อสิ่งเป็นพิษและสิ่งทำให้แพ้ค่ะ


น้องหวาน : ขอบคุณค่ะพี่บีม แล้วอาหารในข้อสุดท้ายล่ะคะ คงเป็นที่พี่บีมแนะนำให้ทานใช่ไหมคะ



บีม: ใช่ค่ะน้องหวาน ก็ตามที่พี่เขียนค่ะ เลือกทานอาหารที่สด สะอาด ไม่แปรรูป มีรสและรูปจากธรรมชาติให้มากที่สุด หากจะปรุง ก็ปรุงด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้น ๆ และให้อาหารนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วยังคงมีสารอาหารหรือคุณสมบัติทางยาอยู่ค่ะ

       คือ พอเราตัดสิ่งเป็นโทษกับสิ่งที่แพ้ออกไปแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นที่เราทานได้ค่ะ ซึ่งถ้าสิ่งนั้นทานสด ๆ ได้และร่างกายย่อยได้ เช่น ผลไม้ เราก็ทานค่ะ แต่ให้เลี่ยงผลไม้หวาน ๆ ค่ะ มีน้ำตาลสูงและทำให้เกิดภาวะร้อนเกินง่ายค่ะ ภาวะร้อนเกินเป็นอีกสาเหตุของสิวเช่นกันค่ะ 

       ของบางอย่างต้องปรุงก่อนจึงจะทานได้ เช่น ผักบางชนิด เช่น บร็อคโคลี่ ที่ทานสด ๆ ไม่ได้เพราะมันแข็ง คือ ผักอะไรที่แข็งเกินไป เราควรต้องเอามาลวกให้นิ่มก่อนค่ะ ใช้ไฟปานกลางลวกไม่เกิน 5-10 นาที แล้วค่อยทานค่ะ อย่าไปใช้ไฟแรงและต้มนาน ๆ ยกเว้นแต่ว่าเราจะมีข้อมูลมาว่าต้องใช้วิธีนั้นในการสกัดสารสำคัญของผักนั้นออกมาให้อยู่ในซุปแล้วค่อยทานค่ะ 

       ถ้าอะไรที่เราทานได้ และวิธีการประกอบอาหารนั้นถูกต้องเหมาะสม เราจะรู้สึกสบายตัวหลัทานค่ะ มีพลังเพิ่มขึ้น ไม่ท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่ปวดปิด ไม่ปวดท้องค่ะ สังเกตง่าย ๆ เท่านี้ค่ะ ถ้ามีอาการตรงข้ามก็ควรลองปรับวิธีการทำอาหารดูใหม่คะ 

      เรื่องของเทคนิคการประกอบอาหารพี่คงไม่เก่งค่ะ เพราะพี่ไม่ใช่คนทำอาหาร แต่พี่จะสังเกตอาการตัวเองแล้วบอกคนที่ประกอบอาหารให้ค่ะว่า พี่ไม่เติมอันนี้ ไม่เอาแบบนี้ กินแบบนี้ได้ ซึ่งเขาก็จะปรับให้ค่ะ พี่แค่สังเกตอาการตัวเองหลังทานเท่านั้นค่ะ


น้องหวาน : แล้วเรื่องอาหารฤทธิ์เย็นและร้อนล่ะคะ เห็นพี่บีมเขียนไว้ว่ามันก็สำคัญ


บีม : ใช่ค่ะ เราควรต้องทราบว่าอาหารไหนเป็นร้อนหรือเย็นค่ะ แผนจีนจะมีฤทธิ์กลาง ๆ ด้วยค่ะ แต่พี่อิงแนวหมอเขียวค่ะ เพราะท่านเก็บเกี่ยวความรู้มาจากศาสตร์หลายแขนงและเอามาประกอบกับประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยของท่านเองซึ่งเป็นคนไทยค่ะ พวกเราเป็นคนไทย พี่จึงคิดว่า สิ่งที่ท่านสรุปออกมาน่าจะใช้ได้ดีกว่าทฤษฎีอื่น ๆ ค่ะ และทุกวันนี้พี่ก็อิงหลักของท่านในการปรับสมดุลร้อนเย็นของร่างกายอยู่เสมอค่ะ สำหรับตารางอาหารร้อนเย็น หนูค้นใน google ได้เลยค่ะ ใส่คำว่า หมอเขียว ไปด้วยก็ได้ค่ะ ในหนังสือท่านก็มีค่ะ ซื้อมาไว้อ่านได้เลย คือ ที่พี่แนะนำให้คนเป็นสิวทานอาหารฤทธิ์เย็นในช่วงแรก ๆ ของการรักษาตัวเองก็เพราะ สิวของคนสมัยนี้เกิดจากภาวะร้อนเกินค่ะ ซึ่งอาการที่คนเป็นสิวจะมีคล้าย ๆ กันคือ

·         มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง
·         ประจำเดือนไม่ค่อยปกติ
·         ท้องผูก
·         ตาไม่สดใส สีเหลืองบ้าง แดงบ้าง
·         นอนไม่ค่อยหลับ
·         ปากดำ คล้ำ แห้งแตก ไม่สดใส เหมือนคนสูบบุหรี่
·         ผิวเหี่ยวแต่มัน

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะร้อนเกินทั้งนั้นเลยค่ะ และการปรับสมดุลในช่วงแรก ต้องทำให้ Heater ที่ร้อนจัดค่อย ๆ เย็นลง ซึ่งการปรับที่สำคัญคือ การใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นและอาหารที่มีฤทธิ์เย็นช่วยให้มากที่สุดค่ะ 

ซึ่งการจะปรับนี้มันก็มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้องอีกนะคะ และในระยะยาวก็ไม่ใช่ให้ทานของฤทธิ์เย็นไปตลอด มันต้องทานทั้งร้อนทั้งเย็นค่ะ เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายสมดุลคงที่อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส เพราะที่อุณหภูมินี้ร่างกายจะทำงานได้ดีที่สุดค่ะ
ยกตัวอย่างนะคะ 

·         ในหน้าหนาว พี่จะเป็นคนหนาวง่ายมาก เพราะเลือดน้อยค่ะ (พึ่งทราบตอนไปตรวจเลือดตอนตั้งครรภ์ว่าพี่มีพาหะธาลัสซีเมีย แต่แค่พาหะค่ะ ไม่เป็นอันตรายอะไรค่ะ และไม่อันตรายกับลูก ดังนั้นพี่จะเลือดน้อยกว่าคนปกติ และมันเป็นโดยยีนส์ค่ะ ไปแก้อะไรไม่ได้ พอเลือดน้อยก็จะทำให้หนาวง่ายด้วยค่ะ การหมุนเวียนของเลือดจะตกถ้าดูแลตัวเองไม่ดีค่ะ คงเป็นอีกสาเหตุของสิวของพี่ด้วยค่ะ) พี่ก็จะทานอาหารมีฤทธิ์ร้อน เช่น โจ๊กใส่ขิง ทานขมิ้นชัน ดื่มอะไรอุ่น ให้เลือดลมมันไหลเวียนดีค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนที่รู้สึกว่ามีภาวะร้อนเกินจากอาหารที่ทานเข้าไป เช่น จากอาหารที่แพ้ พี่ก็จะถอนด้วยน้ำย่านางที่เอามาใส่น้ำอุ่นค่ะ เพื่อไม่ให้เย็นเกินไปสำหรับหน้าหนาวค่ะ


·         ในหน้าร้อน ถ้าช่วงกลางคืนมันเย็น พี่ก็จะไม่ทานน้ำย่านางหรืออะไรเย็น ๆ ตอนกลางคืนค่ะ ถ้าหนาว ๆ ก็จะชงอะไรอุ่น ๆ ดื่ม อาบน้ำอุ่น ๆ ค่ะ แต่ถ้ากลางวันพี่ก็ต้องหมั่นทานผักผลไม้ฤทธิ์เย็น อาหารที่ไม่มีฤทธิ์ร้อนเกินไป  ดื่มน้ำเยอะ ๆ ค่ะ เพื่อช่วยไล่ความร้อนออกไป

คือ เราจะทานอาหารฤทธิ์เย็นเป็นสัดส่วนสูงก็เพียงตอนแรกของการรักษาค่ะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้สึกว่า เราเริ่มหนาวเร็วกว่าปกติ หน้าซีด ไม่ค่อยมีเลือด หรือมีอาการของภาวะเย็นเกิน ก็ให้ปรับมาทานอาหารฤทธิ์เย็นผ่านไฟค่ะ เช่น เอาแตงกวามาลวกหรือต้มแทนการกินสด หรือจะทานสมุนไพรหรืออาหารฤทธิ์ร้อนช่วยปรับให้ความเย็นเกินสูงขึ้นมาค่ะและพักการทานพวกฤทธิ์เย็นไปก่อนค่ะ

และนอกจากตัวอาหารและอาการของเราเองแล้ว เราต้องดูฤดูกาลด้วยค่ะ หน้าหนาวและหน้าฝนชื้นก็ต้องทานอะไรอุ่น ๆ ร้อน ๆ เยอะ ๆ หน่อย แต่ถ้าร้อน ๆ แห้ง ๆ ก็ต้องพวกฤทธิ์เย็นมาก ๆ หน่อยค่ะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยไล่ความร้อนและลดความหนืดข้นของของเหลวในร่างกายค่ะ


น้องหวาน : แล้วถ้าเรื่องผลไม้ล่ะคะ อยากถามว่าผลไม้ฤทธิ์เย็น และผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิวมีอะไรบ้างคะ แล้วที่ไม่ควรทานเลยมีอะไรบ้างคะ


บีม :เอาที่พี่กินเลยมั้ยคะ แต่ต้องบอกก่อนนะจ๊ะว่าแต่ละคนธาตุไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิด ตัวที่พี่ทานหนูอาจท้องอืดได้ค่ะ ยังไงก็ลองดูก่อนนะ พี่จะทานผลไม้ตามฤดูกาลค่ะ และทานผลไม้ท้องถิ่นถ้าหามาได้
ผลไม้ที่ทานส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอปเปิ้ล สับปะรด ชมพู่ มะพร้าว น้ำมะพร้าว (ชอบมาก) แต่ระวังที่เขาผ่ามาแล้วนะคะ เคยกินแล้วได้กลิ่นเหม็นกันบูด เพราะส่งมาจากภาคกลางเลย แนะนำให้ทานที่เป็นลูก ๆ และผ่าให้เราสด ๆ ดีกว่าค่ะ คือ ยังเป็นเปลือกแข็งเขียวอยู่ ผลไม้ฤดูนี้ก็แก้วมังกร กระท้อนค่ะ (ตอบเดือนสิงหาคม หน้าฝนค่ะ) ส่วนลำไยและทุเรียน ร้อนมาก เงาะด้วยค่ะ แม้จะตามฤดูกาล พี่กินเยอะจนร้อนในมาเลยค่ะ กินพออร่อย

ถ้ามันร้อนมาก พี่หาผลไม้ไม่ทันก็ผสมน้ำย่านางสกัด 1 ช้อนกับน้ำ 1 แก้วค่ะ และดื่มน้ำบ่อย ๆ ไล่ความร้อนเกินค่ะ จริงๆ เรากินได้หมดนะคะ แต่ว่าให้ดูปริมาณค่ะ เจ้าที่ถูกกับเราก็กินได้เยอะหน่อยค่ะ เจ้าที่หวาน ๆ มัน ๆ ร้อน ๆ กินแล้วไม่สบายตัวก็กินน้อย ๆ หรือเลี่ยงกินตอนอากาศร้อน ๆ หรือร่างกายร้อนน่ะค่ะ


น้องหวาน : ขอบคุณค่ งั้นหนูสรุปนิดนึงนะคะ สรุปว่า ให้หนูงดหรือเลี่ยงอาหารที่เป็นโทษ อาหารที่ทำให้แพ้ ซึ่งหนูต้องสังเกตเองบ่อย ๆ และทานอาหารที่สด สะอาด ไม่ผ่านการปรุงแต่งให้มากที่สุด และในช่วงแรก ๆ ก็ให้ทานของที่มีฤทธิ์เย็นไว้ก่อน แต่เราไม่ทานตลอดไป ถ้าสภาพร่างกายปรับสมดุลดีแล้ว เราก็ทานอาหารให้หลากหลายขึ้น ทั้งที่มีฤทธิ์ร้อนและเย็น ซึ่งก็ให้ดูตามสภาพร่างกาย สภาพอากาศ อุณหภูมิในอากาศ และฤดูกาล ถูกต้องนะคะ


บีม : ใช่ค่า แบบนั้นล่ะค่ะ เดี๋ยวสักพักหนูก็จะจับทางดูแลตัวเองถูกเองค่ะ ก็จะเป็นแนวทางของตัวหนูเองค่ะ



น้องหวาน : ขอบคุณค่า พี่บีม อ้อ เกือบลืมน่ะค่ะ แล้ววิตามินต่าง ๆ หรืออาหารเสริมหนูทานต่อได้หรืองดทานไปก่อนไหมคะ


บีม : จากข้อมูลล่าสุดที่พี่ได้รับจากคุณฉิน หนึ่งในเครือข่าย MBH Network คือ วิตามินและอาหารเสริมต่าง ๆ มีฤทธิ์เป็นกรดค่ะ (pH) ซึ่งร่างกายคนเป็นสิวจะมีความเป็นกรดสูงอยู่แล้วค่ะ แต่คุณหมอที่คุณฉินไปหานั้นใช้วิตามินในการรักษาเหมือนกันจ่ะ แต่เขาไม่ให้ทานนานเกิน 6 เดือนนะคะ ซึ่งการที่จะทำให้กรดเปลี่ยนเป็นกลางนั้นต้องอาศัยด่างหรือเบสจากผักผลไม้เยอะ ๆ ค่ะ แล้วร่างกายจะปรับสมดุลได้เองค่ะ ฝรั่งที่รักษาสิวเองเขาจะมีพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เขาจะมีลิสต์อาหารเลยว่า อาหารไหนมีค่า pH เท่าไหร่ค่ะ ลองหาใน Google ด้วยคำว่า pH Food Chart ค่ะ เอกสารของไทยพี่ยังหาไม่เจอค่ะ เคยพยายามหาเหมือนกันค่ะ ด้านล่างนี่เป็นตัวอย่างนะคะ ...ดังนั้นพี่มองว่า เมื่อเริ่มรักษาสิว ควรหยุดวิตามินและอาหารเสริมไปก่อนค่ะ แล้วหันมาปรับค่าความเป็นกรดในเลือดให้เป็นกลางด้วยผักผลไม้ที่ล้างสะอาดหรือปลอดสารค่ะ และทำการล้างพิษอะไรให้เรียบร้อยก่อนค่ะ เพราะจากที่ได้ความรู้ที่ไปคอร์สล้างพิษกับพี่ญาตา พี่เขาเองก็บอกว่า ถ้าร่างกายไม่สะอาด เลือดสกปรก ต่อให้วิตามินหรืออาหารเสริมดีแค่ไหน เข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ สักพักก็จะละลายกลายเป็นของเสียไปด้วยเสียหมดค่ะ ค่อยเอามาใช้ตอนที่ร่างกายมีสุขภาพดีแล้วดีกว่านะคะ ไว้เสริมค่ะ...น่าจะดีที่สุดค่ะ ตรงนี้อาจจะขัดกับที่พี่เขียนในหนังสือ สิวซีเคร็ต นะคะ แต่นี่คือความรู้อัพเดทใหม่ค่ะ เอาตามนี้ก็แล้วกันจ่ะ ยังไงๆ พี่ก็จะปรับปรุงเนื้อหาหนังสือให้อัพเดทอยู่แล้วค่ะ



น้องหวาน : กระจ่างแล้วค่าพี่บีม ขอบคุณมากค่ะ ^^



บีม : โอเคค่า ขอให้น้องหวานประสบความสำเร็จในการดูแลตัวเองและมีสุขภาพดีที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ 




รวบรวมลิงค์ที่แนะนำ
·         ไขมันแปรรูป http://www.depthai.go.th/dep/doc/52/52002887.pdf
·         โรคลำไส้รั่วซึม http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/2/
·         ภัยน้ำมันทอดซ้ำ https://docs.google.com/open?id=0B7eIXMJehgzJamhQS2tveGNKMU0
·         ภาวะแพ้อาหารแฝง  http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/3/
·         อาหารฤทธิ์ร้อน - เย็น (แนวหมอเขียว) http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pat-naja&month=20-10-2009&group=11&gblog=5

Monday, October 15, 2012

วิธีเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันหลังล้างพิษรักษาสิว (ป้องกันสิวเกิดซ้ำในอนาคต)


คำถาม 2 ข้อนี้มาจากน้องที่รักษาสิวตามแนวทางนี้มาได้สักพักใหญ่แล้วค่ะ แต่เข้าใจว่าน้องคงจะมีปัญหากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามมาเช่น อาการขับพิษที่ค่อนข้างรวดเร็วเวลาเจออะไรแปลกปลอม และคำตอบที่บีมตอบนี้ถือเป็นคำอธิบายใหม่ล่าสุดที่บีมเองค้นพบไม่นานมานี้นะคะ อยากให้อ่านกันดูค่ะ และคิดว่าเพื่อป้องกันสิวเกิดซ้ำ วิธีนี้ก็ใช้ได้ค่ะ โดยช่วงที่ค่อย ๆ ปรับร่างกายให้เข้ากับสิ่งแปลกปลอมรอบตัวแต่ละช่วงก็จะมีสิวขึ้นได้ค่ะ เพราะระบบภายในปรับตัว แต่มันจะค่อย ๆ หายไปได้ค่ะ (จากที่บีมสังเกตตัวเอง)

ตามมาอ่านเลยค่ะและทำความเข้าใจดี ๆ นะคะ ประเด็นนี้สำคัญเหมือนกันค่ะ คำถามดีมาก ต้องขอบคุณน้องที่ถามเข้ามาค่ะ
==========================================================

คำถามที่ 1
หนูสงสัยอีกอย่างว่าถ้าเราร่างกายสะอาดแล้ว  เหมือนเวลาเรารับอะไรที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันก็จะตอบสนองทันที  โดยมีอาการแปลกๆมา  มันเหมือนร่างกายเราอ่อนแอ(แต่จริงๆมันไม่ได้อ่อนแอ)  แต่ทำไมเมื่อร่างกายเราไม่สะอาด  เวลารับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในร่างกาย  ร่างกายมันไม่เห็นมีอะไรเลย คืออยู่ปกติดี มันไม่เห็นแสดงผลเหมือนเวลาร่างกายเราสะอาดเลย  หรือว่ามันก็จะแสดงผลเหมือนกันคะ  แต่ออกฤทธิ์ช้า แล้วไปแสดงผลแบบอื่น พี่บีมอธิบายให้หนูฟังหน่อยนะคะ  

เมื่อก่อนพี่อาจจะตอบคำถามหนูไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่มีคำตอบให้หนูแล้วค่ะ เพราะพี่ผ่านจุดนี้มาละ

หนูต้องลองหาหนังสือ "มาเป็นหมอรักษาตัวเอง" ของหมอเขียวมาอ่านดูค่ะ เพราะรู้สึกพี่เองก็ได้คำตอบมาจากตรงนั้นด้วย ประกอบกับประสบการณ์สุขภาพส่วนตัวค่ะ และยังมีข้อมูลที่ได้มาจากพี่ฉิน เพื่อนใน MB อีกค่ะ ที่นำข้อมูลมาแชร์ให้ฟังหลังจากไปพบแพทย์ทางเลือกค่ะ 

หนูคงสงสัยว่า ในเมื่อดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว ร่างกายสะอาดแต่ทำไมมีอาการแปลกปลอมเร็วใช่ไหมคะ ค่ะ สมมติว่าหนูมีพื้นบ้านสีขาวสะอาดมาก ๆ แล้วพอใช้ไปนาน ๆ สีก็ออกขุ่น ๆ ใช่ไหมคะ เพราะเริ่มสกปรกแล้ว แล้วเวลาหนูมาขัดล้างเขาใหม่ เขาก็กลับมาขาวสะอาด เวลามีรอยเท้าหรืออะไรสกปรกก็จะเห็นง่าย เห็นเร็ว ถูกไหมคะ

ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าหนูไม่ขัดล้างเขาเลย เวลามีอะไรสกปรก ๆ ไปตกใส่เพิ่ม ก็แทบสังเกตไม่เห็นถ้ามันไม่ชัดจริง ๆ ใช่ไหมเอ่ย

ร่างกายคนเราก็แบบนั้นค่ะ แต่แตกต่างตรงที่ว่า ร่างกายของเรามีกลไกทางธรรมชาติที่จะจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและรักษาสมดุลอยู่เสมอ ไม่เหมือนพื้นปกติค่ะที่ไม่มีกลไกเหล่านี้ค่ะ

เมื่อหนูเป็นสิวนั่นคือ พื้นสกปรกมาก ๆ ถึงมากที่สุด จนพื้นขาวเป็นดำชัดเจนเลยค่ะ แล้วหนูก็มาล้างเพื่อให้มันกลับมาขาวอีกครั้ง

คราวนี้เวลามีอะไรที่มาตกใส่ หรือเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันไปเห็นสิ่งแปลกปลอมเข้า เขาจะเข้าไปจัดการได้ทันทีค่ะ จึงทำให้มีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอมเร็วมาก ดังนั้น พี่จึงแนะนำทุกคนว่าช่วงล้างพิษให้หลีกเลี่ยงสิ่งแปลกปลอมทุกอย่างค่ะ เพราะภูมิคุ้มกันจะเร็วกว่าปกติ อาจทำให้การตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมมีมากกว่าปกติได้ค่ะ

คราวนี้สิ่งที่พี่จะแนะนำก็คือ ค่อย ๆ ใส่สิ่งแปลกปลอมให้ภูมิคุ้มกันได้ปรับตัวค่ะ จากระดับ 1 เป็น 2 ไปเรื่อย ๆ จนเราสามารถกิน อยู่ ในภาวะปกติได้เหมือนคนอื่น ๆ ค่ะ แต่มันจะมีอาหารที่มันไม่ถูกกับเราโดยธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ ในคนเป็นสิว ทั่วโลกเลย ต่างก็มีอาการแพ้อาหารประเภทแป้งขาว กลูเทน และอะไรเหมือน ๆ กันค่ะ คนมีแนวโน้มเป็นอะไร รูปแบบกลไกการทำงานของร่างกายก็จะเป็นไปทางที่คล้าย ๆ กันเลยค่ะ 

ดังนั้น พี่จึงแนะนำให้เรารู้เลยว่า เราแพ้อาหารตัวไหน และกินไม่ได้แน่นอนตลอดชีวิตนี้ อย่างพี่คือ นมวัวและทุกอย่างจากวัวและสัตว์ใหญ่ค่ะ ซึ่งหลายครั้งมันเกี่ยวกับเรื่องของกรรมเก่า เรื่องของจิตค่ะ บางคนทำบุญบารมีจากชาติก่อน ๆ มาได้เคยปฏิบัติธรรมขั้นสูง ซึ่งอาจเคยละเว้นการทานเนื้อสัตว์ทั้งหลายและปฏิญาณจะไม่กินอีก พอได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก แล้วไปทานเนื้อสัตว์ ร่างกายก็ต่อต้านได้ค่ะ 

คือเราต้องคิดเสมอว่ามนุษย์ประกอบด้วยขันธ์ 5 ค่ะ มีกายกับจิตคู่กัน ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลร่างกายนี้แล้ว แต่การทานอาหารบางอย่างยังสร้างปัญหาให้เราและหาคำตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ พี่มองว่ามันเป็นเรื่องของจิตและความผูกพันของจิตต่อบางสิ่งค่ะ ซึ่งพูดประเด็นนี้บางคนอาจไม่เข้าใจ เข้าใจน้อย เข้าใจมาก ตีความต่างไป ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลค่ะ แต่พี่มองเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับแบบนี้ค่ะ จากที่สังเกตตัวเองและหลาย ๆ คนค่ะ

ดังนั้น หาอาหารที่ว่านี้ก่อนค่ะ แล้วไม่ต้องกินหรือกินให้น้อย ถ้ากินแล้วสร้างความทุกข์ให้ร่างกาย ก็ไม่ต้องกินค่ะ ซึ่งมันมีไม่กี่ชนิดค่ะ 

ส่วนอาหารอื่น ๆ ก็ให้ค่อย ๆ ใส่เข้าไปให้ร่างกายค่ะ อย่าให้เข้าไปทีเดียว จาก 2-3 เดือนแรกที่เราเคร่งเรื่องอาหารและล้างพิษ เราก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเริ่มทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนขึ้น หรือแปลกปลอมต่อร่างกายหน่อย ๆ แต่ไม่บ่อย เช่น สัปดาห์ละครั้งก่อน เพื่อให้เขามีเวลากำจัดออกประมาณ 1 สัปดาห์ พอเดือนที่ 2 ก็ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นต้นค่ะ

แต่สำหรับบางคนเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในทางที่สอดคล้องกับธรรมชาติได้มาก กินมังฯ ไปตลอดชีวิตได้ แต่ทานให้หลากหลาย นั่นก็ถือเป็นบุญของเขาค่ะที่ทำได้แบบนั้น แต่มันก็อยู่ที่เราจะเลือกด้วยจ้าว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน เราก็ค่อย ๆ สร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเข้าใกล้ชีวิตแบบที่เราต้องการค่ะ

อันนี้คือพี่ให้ทางแก้ปัญหาไปเลยนะคะ เพราะพี่ก็ทำกับตัวเองแบบนี้ค่ะ ตอนนี้พี่ sensitive กับอาหารบางอย่างเท่าน้ันค่ะ และรู้ว่าถ้ามีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ซึ่งตรงตามข้อมูลธาตุเจ้าเรือนที่น้องเกด (แพทย์แผนไทย) วิเคราะห์ให้พี่ ทุกอย่างจะรวนทันทีค่ะ ก็เป็นงั้นจริงค่ะ พี่ก็ต้องดูแลระบบนี้อย่าให้ติดขัดค่ะ และทานอาหารที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารได้มากขึ้นค่ะ จากเดิมที่ทานแต่อาหารฤทธิ์เย็นค่ะ พี่ก็ปรับค่ะ มันก็ดีขึ้นตามนั้นจริงค่ะ

แต่ช่วงที่เราปรับ ร่างกายอาจจะอิดออด มีสิวขึ้นบ้างอะไรบ้างค่ะ แต่พอเขาปรับได้ระดับหนึ่ง มันก็จะดีขึ้นเองค่ะ แล้วเราก็เพิ่มดีกรีของสิ่งแปลกปลอมเข้าไปค่ะ เพื่อให้ภูมิเราได้ออกกำลัง ได้ทำงาน และแข็งแรงขึ้นค่ะ เหมือนเชื้อโรคที่มันปรับตัวกับยาโดสใหม่ ๆ เสมอ ๆ น่ะค่ะ

สิ่งสำคัญคือ การนอนเร็ว และทำจิตให้ผ่องใสเสมอ ๆ ค่ะ 2 อย่างนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ เพราะการนอนเร็วถือเป็นการล้างพิษประจำวันของร่างกายโดยธรรมชาติ และการทำจิตให้ผ่องใส กำจัดความขุ่นได้เสมอ ๆ ถ้าได้บ่อย ๆ ยิ่งดีค่ะ นั่นคือการล้างพิษจิตใจค่ะ

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมตอนร่างกายไม่สะอาด มันไม่ตอบสนองหรือตอบสนองช้า ก็เพราะพิษมันเยอะไปจนภูมิคุ้มกันเขาไม่รู้จะจัดการอะไรก่อนน่ะค่ะ บางทีก็เสื่อมความสามารถในการแยกแยะไปเลยว่าอะไรคือสิ่งดี อะไรคือสิ่งไม่ดีต่อร่างกายค่ะ นั่นคือธรรมชาติที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ 

ถ้าให้เปรียบเทียบนะคะ สมมติว่าปกติแล้วหนูอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่นิสัยไม่ค่อยจะดี แต่ตอนอยู่ในกลุ่ม หนูมองไม่เห็นสิ่งนั้นค่ะ จนกระทั่งอาจจะได้ลองไปปฏิบัติธรรมหรือไปเจอเพื่อนนิสัยดีมาก ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับหนูได้ไปเห็นอะไรที่แตกต่าง ได้ไปล้างความคิดเดิม ๆ รับอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง หนูก็จะเริ่มแยกแยะออกว่า แบบไหนที่เรียกดี แบบไหนเรียกไม่ดี โดยเห็นตามจริงค่ะ หลังจากนั้นหนูก็จะมีทักษะในการเลือกคบคนและเพื่อนมากขึ้นค่ะ

ก็เหมือนร่างกายน่ะค่ะ เมื่อตอนเราไม่ได้ล้างพิษ ความสามารถในการจำแนกของเขาต่ำค่ะ (ภูมิคุ้มกัน) แต่พอเราเริ่มล้างแล้ว เขาก็แยกแยกได้มากขึ้น จัดการกับพิษได้มากขึ้น สมรรถภาพเพิ่มขึ้น แต่เราต้องเป็นคนคอยควบคุมความถี่และปริมาณที่เขาจะได้รับในแต่ละช่วงค่ะ ให้เหมาะกับระดับความสามารถของเขา ยิ่งช่วงล้างพิษหรือหลังล้างพิษ ถ้าไปใส่ของแปลกปลอมเลย ภูมิคุ้มกันก็ทำงานเสียเต็มที่เลยค่ะ คือ Overacting ไปเลย ทำให้อะไรนิดหน่อยก็ขึ้น ก็ไม่สบายค่ะ ต้องค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกค่ะ

คำถามที่ 2
สมมุติว่าเวลาเรารับแต่สิ่งดีๆเข้ามาในร่างกาย  เช่น กินอาหารที่ดี  สิ่งแวดล้อมดี  คือทุกอย่างดีหมด  แล้วเวลาเราเจอเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆ แล้วเราจะจัดการกับมันได้ไหมคะ  ในเมื่อร่างกายเราไม่เคยเจอกับสิ่งไม่ดีเลย แล้วมันจะมีภูมิคุ้มกันมาต่อต้านหรือเปล่าคะ กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ค่อยดูแลร่างกาย  เมื่อเค้าได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป  ร่างกายก็ต้องกำจัดออก  หรือคอยสร้างภูมิคุ้มกันมาต้าน  ถ้าคนกลุ่มนี้ได้รับเชื้อโรคชนิดใหญ่ๆเข้ามา  ก็มีแนวโน้มที่จะจัดการง่ายกว่าคนที่รักษาสุขภาพหรือเปล่าคะ

ค่อย ๆ เพิ่มอย่างที่พี่บอกนะคะน้องกิ่ง จนเขาสามารถรับมือกับพิษประจำวันได้ดี แล้วถึงตอนที่เชื้อโรคใหญ่มา คนไม่เคยล้างพิษ จะทรุดเร็วกว่าคนที่ดูแลตัวเองจนระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้นตามธรรมชาติที่เราช่วยให้เขาปรับค่ะ แต่สำหรับคนที่ดูแลร่างกายตัวเองดี และปรับระดับภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว แม้จะเจอเชื้อโรคใหญ่ ร่างกายจะจัดการได้ดีและเร็วกว่าค่ะ ป่วยและหายเร็วกว่าไม่เรื้อรังค่ะ และไม่ทรุดลงแบบกะทันหันด้วย ที่สำคัญใช้วิชาที่เรียนมาในการดูแลตัวเอง รักษาตัวเองได้เลยค่ะ เหมือนที่พี่ทำเวลาเป็นหวัดค่ะ มันดูเหมือนอาการรุนแรงกว่าคนที่ไม่กินยา แต่เป็นไม่นานค่ะ ไม่เกิน 3-5 วันพี่หายแล้ว แบบไม่ต้องกินยาเลย ใช้สมุนไพร ใช้ธรรมชาติล้วน ๆ ค่ะ ใช้วิถีองค์รวมค่ะ

ไม่เชื่อหนูลองดูเคสคนป่วยสมัยนี้ค่ะ ในกลุ่มที่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่หรือทำงานหนักมานาน ถ้าป่วย เขาจะเป็นเยอะเลย โรคแทรกซ้อนเพียบค่ะ คือ มันแฝงอยู่แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงออกมาค่ะ ในเรื่องนี้หนังสือ "เข็มทิศสุขภาพ" จะอธิบายได้ดีค่ะ หนูลองหามาอ่านดู อยู่บทแรก ๆ เลยค่ะ เขาจะอธิบายถึงกลไกว่าเหตุใดคนที่ทำงานหนัก ๆ พอได้พักแล้วก็จะเริ่มเหมือนไม่สบาย ทำให้เขาเข้าใจผิดว่า ถ้าทำงานแล้วจะแข็งแรง ถ้าไม่ทำงานแล้วจะป่วย ทำให้เขาไม่พักผ่อนและมักไปทำงานต่อค่ะ แต่คนกลุ่มนี้ถ้าป่วยแล้วจะเป็นเยอะค่ะ เห็นดาราหลายคนไหมคะ ที่ทำงานหนักจนเข้าโรงพยาบาล ก็มาจากเหตุนี้ด้วยค่ะ บางคนอยู่ดี ๆ ก็เลือดออกตา ประมาณนี้ค่ะ

สังเกตเยอะ ๆ ค่ะ แล้วน่าจะเห็นเหมือนกันตามนี้ เพราะมันเป็นสัจธรรมค่ะ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

อธิบายแบบนี้หวังว่าจะตอบคำถามของหนูได้ครบนะคะ
พี่บีม ^^