Friday, September 21, 2012

สิวประจำเดือนยุบช้า รอยหายช้า ทำยังไงดีคะ

ถามมา

- ช่วงนี้สิวบวมแดงปูดขึ้นเยอะ ประมาณ 4-5 เม็ด ที่บริเวณแก้มทั้งซ้ายและขวา (คือสลับกันขึ้นยุบ) อาจจะเป็นสิวขึ้นก่อนประจำเดือนมาจะมีวิธีไหนไหมค่ะ ที่ช่วยให้ยุบเร็วขึ้น เนื่องจากยับยั้งชั่งใจไม่ค่อยได้ พอเริ่มเห็นหัวสิวก็อยากจะบีบ และหลังจากนั้นก็เกิดรอยแดงจากสิวตามมา
- รอยจากสิว หายช้ามากค่ะ จะมีวิธีไหนให้รอยจางลงค่ะ


ตอบไป

บีมเคยอ่านหนังสือของแพทย์แผนจีนชื่อดังท่านหนึ่งนะคะ บีมเองจำไม่ได้แล้วว่าเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ไหน แต่จำได้ว่า ท่านบอกว่าก่อนประจำเดือนจะมานั้นต้องทานของมีฤทธิ์เย็นหน่อยค่ะ เพราะร่างกายของผู้หญิงช่วงนั้นจะร้อนขึ้นและเก็บน้ำ (บวมน้ำ) มากขึ้นค่ะ เมนูแนะนำเช่น ต้มจืดผักกาดขาว (ไม่ใช่ผงปรุงรสนะคะ ให้หวานผักหรือน้ำต้มกระดูกหมูตามธรรมชาติค่ะ) คือ ทานอาหารออกฤทธิ์เย็นแต่ผ่านไฟแบบต้ม นึ่ง ลวก และผักผลไม้สดฤทธิ์เย็นจะช่วยลดสิวก่อนประจำเดือนได้ค่ะ

ส่วนจะทำให้ยุบเร็ว ปกติแล้ว ถ้าเป็นบีมนะคะ บีมจะใช้ White Pro กับมาส์กอุ่นค่ะ ใช้มาส์กสาหร่ายสลับไปบ้างค่ะ และที่ภายในบีมจะทาน CLEAN เพื่อให้ลำไส้สะอาดค่ะ ลำไส้สะอาดความร้อนจะลดลงค่ะ และทานย่านางวันละ 3 ครั้งค่ะ โดยทานแบบน้ำสกัดค่ะ และทานผักผลไม้เยอะ ๆ ค่ะ เอาที่ไม่หวานและมีฤทธิ์เย็นค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นแตงกวา แอปเปิ้ล สับปะรด แตงโม สาลี่น่ะค่ะ ก็หาซื้อได้แถวนี้จ๊ะ

รอยสิวกับสิวที่ยุบช้า บีมได้ข้อมูลมาล่าสุดแล้วสันนิษฐานและค่อนข้างเชื่อว่าต้องแก้ที่ระบบน้ำเหลืองค่ะ ระบบนี้จะไหลช้ากว่าเลือดค่ะและเป็นระบบล้างของเสียโดยตรงค่ะ ซึ่งต้องอาศัยการนวดและการออกกำลังกาย รวมไปถึงการซาวน่าเพื่อช่วยระบบนี้ให้ไหลเวียนดีจ๊ะ ก็จะช่วยให้สิวและรอยยุบเร็วขึ้นค่ะ และบีมเคยสังเกตข้อมูลจากลูกค้าหลายท่านว่า หมอจีนมักให้ยาเย็นกับคนเป็นสิวอักเสบเยอะ ๆ ค่ะ ทำให้ตับสงบและ (ร่ม) เย็น ^^ ดังนั้น ถ้าโดยวิธีบ้าน ๆ บีมก็จะใช้น้ำย่านางนี่ล่ะค่ะ กับอารมณ์เย็น ๆ สงบตับและความร้อนภายในค่ะ รอยแดงจะดีขึ้นเป็นรอยดำจ๊ะ

แนะนำเว็บนะคะ น้ำเหลืองเสีย http://yellowwatererror.blogtika.com/?cat=298

บีม

คอลลาเจนแบบผงกับเม็ดดีต่างกันอย่างไรบ้าง

คำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก Facebook ค่ะ

คำถาม ถามเรื่องคอลลาเจนหน่อยค่ะที่เป็นแบบผงกับที่เป็นเม็ดดีต่างกันไงบ้าง
คำตอบ คอลลาเจนในท้องตลาดมันมีมากมายหลายสูตรนะคะ พี่ว่าบางทีมันก็วัดไม่ได้ว่าแบบผงหรือเม็ดอันไหนดีกว่ากันเพราะอย่างคอลลาเจนที่พี่เคยขายนะ แบบแคปซูลลูกค้าก็ประทับใจค่ะ เห็นผลเร็ว แบบผงก็เห็นเร็วดี
ของแบบนี้เราอาจต้องลองเองน่ะค่ะ เพราะแต่ละเจ้าเขาก็มีเทคนิคในการทำต่างกันไป บางเจ้าอาจทำให้เม็ดของเขาประสิทธิภาพดีกว่าผงน่ะค่ะ

แต่ถ้าเรามองในแง่ของการย่อยนะคะ แบบผงถ้าเป็นคอลลาเจนที่ละลายน้ำได้ดีและโมเลกุลเล็ก อย่างที่เขาเรียกว่า Hydrolyzed Collagen เวลาทานแล้วมันจะสามารถดูดซึมที่กระเพาะได้เลยค่ะ แต่ถ้าเป็นแคปซูลหรือเม็ดมันก็ต้องดูว่าน้ำย่อยเราสามารถทำละลายได้มากน้อย เพียงใดค่ะ

จะเห็นว่าเวลาทานอะไรที่เป็นน้ำมักจะเห็นผลเร็วกว่าน่ะค่ะ ลองสังเกตดูจ๊ะ (ถ้าตามหลักการละลายและดูดซึมนี้นะคะ ไม่งั้นเขาไม่ให้ผู้ป่วยที่ทานอาหารทางสายยางทานแบบเหลว ๆ หรอกจ๊ะ)

Wednesday, September 19, 2012

ตอบปัญหาภาวะซีดจากการไม่ได้ทานเนื้อสัตว์


บีมตอบอีเมลผู้สนใจท่านหนึ่งค่ะ ซึ่งบีมมองว่าเป็นคำถามที่ดีและคนที่รักษาสิวน่าจะมีคำถามนี้ในใจด้วย 

ปัญหา: ด้านล่างนี้เป็นอีเมลฉบับแรกที่บีมได้รับมาจากท่านนี้ค่ะ แต่เราก็ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มไป และขอรูปด้วยค่ะ (แต่บีมขอไม่เผยแพร่รูปค่ะ ขอนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็พอค่ะ) ทำให้บีมมีข้อมูลมากขึ้นในการช่วยวิเคราะห์ปัญหานะคะ

เป็นสิวเรื้อรังมานานกว่า 20 ปี  ช่วงที่หาหมอก็ดีขึ้น  หยุดหาหมอก็หน้าเละ
อ่านหนังสือคุณบีมและทำตามได้ 3 เดือน หน้าดีขึ้น  แต่มีปัญหาเหงื่อออกมาก เหนื่อยง่ายค่ะ
ไปตรวจเลือดพบว่า เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กลง ทำให้ขนส่งออกซิเจนได้น้อยลง...คุณหมอบอกว่าต้องกินเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด
จึงต้องกลับมากินเนื้อสัตว์อีกครั้ง  ประกอบกับใกล้สอบ นอนดึก
ตอนนี้หน้าเละอีกรอบแล้วค่ะ
เฮ้อ!!! หาจุดสมดุลให้ตัวเองไใม่ได้จริง ๆ ค่ะ ว่าควรจะปรับอาหารอย่างไร ให้หน้าไม่ full of acne ขนาดนี้ และไม่มีปัญหาเม็ดเลือด ><'

รู้สึกเคว้ง รู้จุดหมายปลายทางว่าเราต้องการอะไร แต่ไม่รู้จะใช้เส้นทางไหน เดินทางไปด้วยพาหนะอะไร จึงจะดีที่สุด ....

ขอคำแนะนำด้วยนะค่ะ
ส่วนด้านล่างนี้ เป็นคำถามที่ส่งมาสอบถามในแบบฟอร์มขอรับคำปรึกษาค่ะ บีมก็ตอบไปตามนี้นะคะ 

****************************************************************

- การกินงาดำ ช่วยทดแทนโปรตีนให้ร่างกายได้หรือไม่
บีมคิดว่าพี่ปออาจจะได้ลองหาข้อมูลมาบ้างแล้วนะคะ เพราะด้วยอาชีพนักวิจัยน่าจะเป็นคนหาข้อมูลหรือหาคำตอบให้ตัวเองเก่งค่ะ แต่บีมขอเสนอข้อมูลไป 2 ลิงค์นะคะ ที่บีมคิดว่าจะพอช่วยตอบคำถามพี่ปอได้


ลิงค์แรก เป็นข้อมูลที่บีมอ่านเกี่ยวกับงาดำแล้วมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำถามดังนี้ค่ะ

2.      งา นอกจากจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังมีโปรตีนอีกถึง 20 % โปรตีนของคนเราประกอบด้วยกรดอะมิโนประมาณ 22 ชนิด แต่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องอาศัยจากการกินอาหารมีอยู่ 9 ชนิด ซึ่งมีอยู่ในถั่วเกือบครบถ้วน จะขาดแต่กรดอะมิโนจำเป็นตัวหนึ่ง ชื่อ เมทไธโอนีน ( AMINO METHIONINE ) ที่มีอยู่น้อยไม่พอเพียงแต่กลับมีมากในเมล็ดงา ดังนั้นถ้ากินถั่วพร้อมกับงาก็จะได้โปรตีนครบถ้วน

ส่วนอีกเว็บ มีข้อมูลนี้เสริมค่ะ
งา เนื้อคู่ของถั่วสำหรับงา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ 

ประกอบกับข้อมูลที่บีมได้มาจากพี่วิทยากรที่เขาเป็นหมอพื้นเมืองของ อ.พาน ซึ่งบีมเคยถามเขาในเรื่องโปรตีนในอาหารค่ะว่า ถ้าบีมเลี้ยงลูกแต่ไม่อยากให้กินเนื้อสัตว์ จะทำอย่างไรให้เขาได้โปรตีนครบค่ะ เขาบอกว่า จริง ๆ แล้วคนเราน่ะ ข้าว ถั่ว งา ผักผลไม้ ก็ได้ครบหมู่แล้วค่ะ

และข้อมูลจากหนังสือ อึส่องโรค ของคุณหมอบรรจบแห่งบัลวีเองก็สอดคล้องกันค่ะ อยากแนะนำให้พี่ปอหาอ่านเพิ่มด้วยน่ะค่ะ

คือ แบบนี้ค่ะ โปรตีนในเนื้อสัตว์จะให้อะมิโนแบบสมบูรณ์ แต่ในถั่วงาและพืชผักแม้จะมีโปรตีนแต่ไม่สมบูรณ์ค่ะ 

ถ้าในคนที่ระบบย่อยอาหารดี สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้ดีกว่า (แต่โดยสรีระและวิวัฒนาการของมนุษย์เรา ร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทานเนื้อสัตว์ค่ะ จึงเหลือตกค้างเป็นพิษเยอะ) เขาก็จะได้รับอะมิโนครบถ้วนจากการทานเนื้อสัตว์ได้ค่ะ

แต่ถ้าในวงการคนเพาะกายแบบมังสวิรัติ (บีมเคยมีลูกค้าเพาะกายค่ะ เขาเคยส่งลิงค์นักเพาะกายที่ไม่ทานเนื้อค่ะ คือเป็นมังฯ เลย กล้ามขึ้นเหมือนกันค่ะ ยังไงพี่ปอลองหาข้อมูลดูได้นะคะ บีมทำลิงค์หายไปแล้วน่ะจ๊ะ) ของฝรั่งก็ได้ค่ะ พวกนี้ข้อมูลโภชนาการเขาจะเป๊ะมาก ชั่งกิโล ชั่งตาชั่งกินกันเลยทีเดียวค่ะ เขาก็จะกินข้าวกล้อง ถั่ว งา นี่ล่ะค่ะ เต้าหู้ ไข่ไก่ (สำหรับคนไม่เคร่งเท่าไหร่)

จริง ๆ แล้วถ้าไข่ได้มาจากไก่ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช่ระบบอุตสาหกรรม จะไม่มีปัญหาค่ะ แต่เนื้อสัตว์และไข่สมัยนี้โดนฮอร์โมนไปเต็ม ๆ ผลก็คือสิวที่ตามมานี่ด้วยค่ะ

บีมยังพูดไม่จบเนอะ คือ ในข้าวกล้อง ถั่ว งา พืช ผัก นั้นเป็นอาหารที่แท้ของมนุษย์ค่ะ (อ้างอิงจากหนังสือ พิชิตโรคร้ายโดยไม่ใช้ยา ของคุณหมอบุญชัย http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9789743503337) บีมเคยทำคลิปรีวิวเอาไว้น่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าพี่ปอเคยดูหรือยัง แต่เวอร์ชั่นนั้นดูงง ๆ หน่อยค่ะ เพราะบีมเบลอ ๆ) ร่างกายเราจะย่อยพวกนี้ได้สมบูรณ์กว่า (ถ้าระบบย่อยสะอาดและสมดุลนะคะ) และสามารถนำสารอาหารมาใช้ได้มากกว่าค่ะ คือ ย่อยก็เหมือนบดละเอียด ยิ่งละเอียดมาก เรายิ่งได้สารอาหารมากค่ะ ส่วนที่ย่อยไม่ได้ก็จะเป็นใยอาหารช่วยกวาดสิ่งสกปรกทิ้งไปค่ะ คือ พวกนี้เขามีครบเลยที่เราต้องการ

นอกจากถั่วงาแล้ว ข้าวกล้องก็โปรตีนสูงนะคะ คือ กินพวกนี้ก็ไม่ต้องกลัวขาดโปรตีนน่ะค่ะ แต่แค่ต้องกินให้หลากหลายขึ้น

ส่วนวิตามินที่อาจจะขาดคือ บี 12 ค่ะ สำหรับคนไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่คุณหมอบรรจบบอกว่าในน้ำปลามีวิตามินตัวนี้ค่ะ (จากหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ)

****************************************************************
- หากไม่กินเนื้อสัตว์เลย จะปรับพฤติกรรมอย่างไรหรือปรับอาหารแบบไหนให้ร่างกายยังมีกรดอะมิโนเพียงพอต่อการใช้งานของร่างกาย

ตามที่แนะนำเลยจ้า ถ้าไม่สะดวก แนะนำให้ชงผงถั่วเหลืองดอยคำหรือนิวทริไลท์โปรตีนทานค่ะ อย่างบีมตอนท้องนี่ บีมไม่ค่อยอยากทานเนื้อสัตว์ค่ะ นอกจากปลากับกุ้ง แต่ถ้าที่บ้านเขาทำไก่ ทำหมู บีมก็กินได้ค่ะ แต่ไก่นี่สิวจะขึ้นเร็วมาก ฮอร์โมนสูงกระฉูด ยิ่งถ้าทอดไม่ต้องพูดถึงค่ะ และร่างกายบีมจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการกำจัดฮอร์โมนส่วนเกินนี้ออกมาค่ะ เลยเป็นสิวไม่เกิน 3-4 วัน แล้วมันจะยุบไปเองแบบไม่ต้องทายาเลยค่ะ แต่ถ้าทาหรือใช้มาส์กช่วย มันจะยุบเร็วขึ้นค่ะ (แต่บีมชอบทดลองน่ะค่ะ ว่าอันไหนสิวขับ ถ้าขับจริงก็จะยุบได้เอง มันก็เป็นเช่นนั้นจริงจ้า) บีมก็เกรงว่าจะรับโปรตีนไม่พอ แต่จากท้องที่แล้ว บีมพบว่าบีมทานอาหารน้อยกว่าท้องนี้และเนื้อสัตว์แตะไม่มากเลยค่ะ แทบไม่กินเลยล่ะ แต่อาศัยเจ้าผงโปรตีนนิวทริไลท์ค่ะ ทานวันละอย่างน้อย 1-2 ช้อนค่ะ ก็กินจนคลอดค่ะ และก็ดื่มนมแอนมัมสูตรถั่วเหลืองค่ะ เพราะแพ้นมวัวเต็ม ๆ ดื่มสลับกับแลคตาซอยสูตรปกติค่ะ น้องก็แข็งแรงดีค่ะมาโดยตลอดค่ะ

ส่วนอาหารที่เขากิน ส่วนใหญ่เราก็ให้กินเป็นผัก ซุป เต้าหู้ค่ะ พ่อเขากับยายเขามีให้กินไก่บ้าง แต่ไม่บ่อยค่ะ แต่เขาจะยังกินนมวัวสูตร HA อยู่ค่ะ สูตรสำหรับเด็กแพ้โปรตีนนมวัว คือ ถ้าเราแพ้ ร่างกายก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดีน่ะค่ะ น้องแคนดี้ตอนแพ้ก็ตอนอายุไม่กี่เดือน มีสิวหัวขาวกับหัวแดงเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเหมือนผู้ใหญ่เลย จากผิวหน้าลามไปที่หัวกับหู บีมเลยให้เลิกกินนมสูตรปกติเลยค่ะ คือ บีมมองว่าเรากินอะไรแล้วร่างกายไม่รับ ก็ยังไม่ควรทานค่ะ แต่เราค่อย ๆ ใส่ให้เขาดูได้เป็นระยะ ๆ เพื่อทดสอบระดับภูมิคุ้มกันของเราค่ะ แต่ของบางอย่างเราก็กินไม่ได้เลยจริง ๆ ก็มีค่ะ โดยเฉพาะเคสพี่ปอที่ดื่มนมวัวมานานมาก ๆ และมีประวัติการทานยารักษาสิวมานานมากเหมือนกันค่ะ ดังนั้น การที่พี่เลือกรักษาด้วยวิธีธรรมชาติแล้วสิวลง แต่บีมสันนิษฐานว่าพี่ยังไม่ได้ล้างลำไส้ ล้างตับ อะไรอย่างเต็มที่ เมื่อเราทานเนื้อสัตว์ประกอบกับนอนดึก ย่อมทำให้ร่างกายขับพิษซึ่งมีตกค้างอยู่แล้วและของใหม่ที่รับเข้าไปออกได้เร็วขึ้นค่ะ ก็จะเป็นอย่างที่พี่ปอเห็นตอนนี้เลย

อีกอย่างนะคะ ในหนังสือ "นม...มัจจุราชเงียบ" ก็ได้อธิบายค่ะว่านมวัวเป็นสาเหตุของโรคเลือดจางด้วยค่ะ พี่ปออาจลองหามาศึกษาอีกเล่มนะคะ

ส่วนบางทฤษฎีเช่นกรุ๊ปเลือดก็บอกว่า ถ้ากรุ๊ปโอ จำเป็นต้องได้รับเนื้อสัตว์บ้างค่ะ บีมเคยอ่านเรื่องราวของลูกมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แล้วหันเข้ามาหาพุทธนิกายเซน ในตอนที่ปฏิบัติทานมังฯ ค่ะ แล้วร่างกายอ่อนแอ จึงจำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งค่ะ เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่นิยมที่จะทาน แต่ด้วยสภาพร่างกายบังคับให้ต้องทาน เขาก็ต้องทำน่ะค่ะ แต่กินในปริมาณน้อยสุดที่จะทำให้ร่างกายคงสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ค่ะ มันก็จะพอดี ๆ ไม่มากไปทำให้เกิดโรคค่ะ

ดังนั้น ตอนนี้พี่ปอลองปรับศูนย์ใหม่ค่ะ ถ้าปัญหาคือการขาดโปรตีน เราก็หาแหล่งโปรตีนอื่นทดแทนค่ะ ข้าว ถั่ว งา ทานปริมาณที่มากพอ และอาจทานผงโปรตีนเสริมวันละ 1-2 แก้ว แล้วลองทานอาหารประเภทซุปใส เติมของอุ่น ๆ ให้ร่างกายเสมอ ๆ ค่ะ เราอาจทำงานในห้องแอร์ด้วยหรือเปล่า และช่วงที่รักษาตัวเองที่ผ่านมาทานแต่ของฤทธิ์เย็นหรือไม่ค่ะ จึงทำให้เราซีดลงด้วยค่ะ คือ อาจลองหาน้ำขิงที่ไม่หวานมากดน้ำใส่แล้วดื่มระหว่างทำงานไปได้ค่ะ (ถ้าทำในห้องแอร์นะคะ) 

นอกจากนี้ การที่ร่างกายนอนดึกเกินกว่า 3 ทุ่ม ก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและพิการ (บีมใช้คำว่าพิการนะคะ คือมันจะไม่เต็มค่ะ ขาด ๆ วิ่น ๆ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=296964480333944&set=a.190535454310181.45543.130285043668556&type=3&theater ซึ่งข้อมูลนี้บีมน่าจะได้มาจากบทความของแพทย์แผนไทยหรือทางเลือกค่ะ นานแล้ว บีมก็จำไม่ได้ว่าท่านไหน แต่จำได้ว่าส่งผลต่อเม็ดเลือดแดงแน่นอนค่ะ  คือ ถ้านอนดึกไปนาน ๆ จะมีผลทำให้เลือดจางค่ะ

ดังนั้น บีมมองว่าปัญหาผิวซีดและเม็ดเลือดของพี่ปอมีหลายปัจจัยค่ะ คือ
  1. ภาวะเลือดจางสะสมที่เกิดจากการดื่มนมวัวมานานมาก
  2. การนอนดึกติดต่อกัน
  3. การไม่ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ
  4. ระบบหมุนเวียนเลือดลมที่ไม่ทั่วถึง
  5. การไม่ได้รับเนื้อสัตว์ (ถ้าเหมือนกับเคสของลูกมหาเศรษฐีแล้วล่ะก็ พี่ปอคงต้องทานน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวเราค่อย ๆ คัดกรองไปทีละอันนะคะ คือ ลองปรับแก้ที่อาหารดูก่อน ลองไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วทานข้าว ถั่ว งา มาก ๆ

    ลองดูที่เว็บนี้นะคะ คุณหมอแนะนำให้ลองห่อข้าวไปทานเองค่ะ ตามนี้เลย ไล่ลงไปดูที่เขาคุยกันล่างบทความค่ะ
    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=490313047646369&set=a.490313024313038.117546.347954361882239&type=3&theater
****************************************************************

- ร่างกายเราทราบได้อย่างไรว่าตอนนี้ 3 ทุ่ม.....หากเรานอนเที่ยงคืนทุกวัน ร่างกายจะสามารถปรับให้สมดุลในการนอนแบบนี้ได้หรือไม่
ร่างกายมีระบบที่เรียกว่า biological clock ค่ะ บีมแนะนำให้พี่ปอค้นใน Google ด้วยคำว่า "นาฬิกาชีวิต หมอชาวบ้าน" นะคะ อ่านแล้วจะเข้าใจว่าร่างกายเขาทราบได้อย่างไรว่าเวลาไหนต้องทำอะไรค่ะ มันเป็นไปตามธรรมชาติค่ะ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เราก็ตื่น ดวงจันทร์ขึ้น เราก็ต้องพักน่ะค่ะ ต้องมองอะไรธรรมดา ๆ แล้วจะเข้าใจค่ะ 

ถ้าเรานอนเที่ยงคืนทุกวัน เราก็จะมีนาฬิกาปรับเวลานอนเป็นเที่ยงคืนค่ะ การจะปรับมานอน 3 ทุ่มก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ทำได้ค่ะ

อย่างบีมเองนะคะ ก่อนท้องท้องนี้ บีมต้องเอาลูกนอนประมาณ 3 ทุ่ม แล้วจะเหนื่อยค่ะ ต้องนอนไปกับเขาเลย และบีมจะตื่นมาทำงานประมาณตี 2-ตี 4 ทุกคืน แต่พอท้องแล้ว บีมก็ต้องปรับเวลาค่ะ เพราะเราต้องนอนให้ได้ทั้งคืนแล้วมาตื่นตอนเช้าเอาค่ะ ช่วงแรก ๆ ประมาณสัปดาห์กว่า ๆ - 2 สัปดาห์ บีมก็ยังตื่นมาช่วงตี 2 เองค่ะ แต่พอเราตั้งใจแล้วว่า คืนนี้จะหลับถึงเช้า มันจะเริ่มทำได้ค่ะ อาจสะดุ้งตื่นบ้าง แต่ประสาทไม่ตื่นแล้ว และเราจะนอนต่อไปเลยค่ะ หรือถ้าไปเข้าห้องน้ำบีมก็จะกลับมานอน ไม่ทำงานต่อ ตอนนี้สามารถนอนต่อได้ถึงเช้าแล้วค่ะ คือ มันแค่ต้องอาศัยความตั้งใจ การบังคับตัวเองให้นอนต่อ และให้เวลาร่างกายในการปรับตัวค่ะ ช่วงแรกเราอาจหงุดหงิดที่มันไม่ง่วง แต่เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้ตัวเองง่วงเร็วได้ค่ะ เช่น
  1. อาบน้ำเร็วขึ้น 
  2. เอาลิสต์งานมานั่งดูว่าอันไหนทำเสร็จ อันไหนยังไม่เสร็จ ให้เห็นภาพรวมของงาน แล้วจัดแจงว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ค่ะ จะได้ไม่กังวลเอาไปคิดต่อก่อนนอน พอลิสต์และแพลนเสร็จแล้วต้องปล่อยวางเลยค่ะ คิดเสียว่าเวลาทำงานวันนี้หมดแล้ว ทันไม่ทันก็ค่อยต่อกันพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ต้องแบกต่อ
  3. ตอนนอนก็ให้นอนท่าศพเลยค่ะ อาจเปิดไฟสลัว เพลงเบา ๆ ถ้ามันจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น จัดห้องให้สะอาด เรียบร้อย คือทำทุกอย่างให้เหมาะกับการผ่อนคลายค่ะ เหมือนเราเข้าสปาทำนองนั้น แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ละขณะให้วางค่ะ วางแม้ร่างกายของตัวเองลงบนพื้นดิน วางไปเลยค่ะ ให้คิดว่าเรากำลังด่ำดิ่งสู่ผืนดินหรือผืนน้ำค่ะ วางร่างกายกับสมองที่แบกอะไรต่อมิอะไรไว้บนพื้นนั้นล่ะค่ะ (เทคนิคนี้บีมใช้ประจำค่ะ แก้โรคนอนไม่หลับได้ดีมาก)
****************************************************************
- การสวนล้างทวาร...เคยได้ยินว่า บางคนกลายเป็นลำไส้อักเสบ บางคนได้ผลดี บางคนกลับได้โรคเกี่ยวกับลำไส้เป็นสิ่งตอบแทน...ตกลงว่าดีหรือไม่??
ลองดูในหนังสือ อึส่องโรค ค่ะ บีมว่าเขาเชี่ยวชาญทางด้านนี้ น่าจะให้คำตอบได้น่าเชื่อถือว่าบีมที่ยังไม่มีดีกรีเป็นแพทย์ทางเลือกค่ะ แต่เป็นผู้ปฏิบัติค่ะ บีมตอบมันจะดูไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้าจากตัวบีมเอง บีมไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ทำกี่ครั้งก็ไม่เคยมี คนที่เข้าคอร์สล้างพิษที่บีมเคยเป็นผู้ประสานงานจัดขึ้น แม้จะทำกันครั้งแรก ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คนที่เป็นลำไส้อักเสบ ในหนังสือของคุณหมอบรรจบน่าจะอธิบายว่าเป็นเพราะทำบ่อยไป ทำไม่ถูกวิธี น้ำร้อนไป หรือไม่เอาลมออกจากสายยางก่อนใส่ค่ะ

นี่คือบางส่วนจากหนังสือคุณหมอค่ะ

ข้อมูลแนะนำเพิ่มค่ะ

บีมหากระทู้ที่คุณหมอตอบไม่เจอน่ะค่ะ แต่พี่ปอลองสอบถามคุณหมอที่เว็บบอร์ดของบัลวีได้นะคะ เขาจะมาตอบเองตลอดค่ะ

****************************************************************
- เราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเราเครียด....คนชอบบอกว่าเครียดแต่เราไม่เห็นว่าเราเครียดตรงไหน แค่เป็นคนจริงจังเท่านั้นเอง
พี่ปอลองสังเกตเวลาที่ตัวเองเผลอนะคะ ถ้าคนที่เครียดคือ
  1. หายใจเร็วกว่าปกติ และหายใจสั้น
  2. มักกัดฟัน เวลานอนก็อาจกัดฟัน
หลัก ๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ คือ ถ้ามีสติรู้ตัวจับลมหายใจตัวเองได้บ่อย ก็จะทราบเองค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้สั่งจากจิตใต้สำนึก เรามักไม่รู้ตัวค่ะ หลายคนมักจะนอนไม่หลับด้วยค่ะ หลับยาก ฝันบ่อย จิตฟุ้งซ่าน โมโหหงุดหงิดง่าย ระเบิดง่าย เหล่านี้เกิดจากความเครียดสะสมค่ะ

****************************************************************

Saturday, September 15, 2012

น้ำมะนาวอุ่นตอนเช้าล้างตับได้หรือไม่

ขอบคุณคุณบีมมากเลยนะคะ รู้จักคุณบีมเพราะบล๊อกที่คุณบีมเขียน หน้าใสขึ้นมากเลย เก่งจังเลยอะค่ะ รักษาด้วยตัวเอง มีอีกคำถามนึงคือ ตอนนี้หนูดื่มน้ำมะนาว (อุ่น) ทุกเช้าหลังแปรงฟัน ประมาณ น้ำ 0.5 L พอจะช่วยทำความสะอาดตับได้มั้ยคะ ? และถ้าได้จริงต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงเห็นผล คะ ขอบคุณคะ

MarryBeam Cosmetics คุณ Pum Asavaraks ขอบคุณเช่นกันนะคะที่เข้ามาติดตามกันถึงนี่เลยค่ะ เพราะไม่ง่ายเลยเช่นกันที่คนที่ติดตามบล็อกหรือหนังสือจะฝ่าด่านจิตใจตัวเองเข้ามาทักทายกันถึงนี่ค่ะ

เรื่องน้ำมะนาวกับการล้างตับ ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องหรือออกฤทธิ์ล้างตับโดยตรงรึเปล่าน่ะค่ะ แต่โดยธรรมชาติแล้ว น้ำก็ช่วยล้างทำความสะอาดร่างกายได้อยู่แล้วจ่ะ ช่วยละลายสารที่ละลายในน้ำให้ออกมากับปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจออกได้ ส่วนที่ละลายในไขมันนั้น กรดจากมะนาวจะช่วยทำให้แตกตัวได้ดีขึ้นน่ะค่ะ ถ้าน้ำอุ่น ๆ ก็ยิ่งดีเลยค่ะ ก็คิดง่าย ๆ ว่าเวลาเราจะล้างคราบไขมันเราใช้พวกกรดกับน้ำร้อนจะสามารถทำความสะอาดได้ดีกว่า บีมคิดว่ามันก็คงเป็นหลักการเดียวกันค่ะ เพียงแต่ร่างกายเขาไม่ใช่พื้นผิวแบบลื่น ๆ มันมีซอกหลืบ เป็นเนื้อเยื่อค่ะ ดังนั้น การจะล้างให้สะอาดก็ต้องใช้เวลาพอสมควรค่ะ และค่อยเป็นค่อยไปค่ะ

แต่รู้สึกว่าคนเลือดจางทานเปรี้ยวมากไม่ได้นะคะ แต่ต้องไปดูข้อมูลนั้นอีกรอบค่ะ ไม่ค่อยแน่ใจแต่เคยได้ยินค่ะ ให้สังเกตว่า เราทานเปรี้ยวแล้วผิวดูซีดลงและอ่อนแรงรึเปล่าค่ะ 

โดยสรุปนะคะ การทานน้ำมะนาวอุ่นทุกเช้าปริมาณ 1/2 ลิตรจะช่วยทำความสะอาดโดยภาพรวมค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะไปล้างตับโดยตรงไหม แต่จะช่วยกระตุ้นการขับพิษของร่างกายได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าจะล้างพิษที่ตับโดยตรงจะมีวิธีล้างนิ่วในตับและถุงน้ำดีสูตรที่ใช้น้ำมันมะกอก ดีเกลือนั้นล่ะค่ะ และก็สวนลำไส้ด้วยกาแฟค่ะ เป็นการล้างตับโดยตรงเลย แต่ก่อนล้างตับบีมแนะนำให้ล้างลำไส้ก่อนค่ะ เพราะถ้าลำไส้อัดแน่น มีของเสียมากมายติดอยู่ (แนะนำให้อ่านหนังสือ อึส่องโรค ของ นพ.บรรจบค่ะ) เราล้างตับออกมา พิษไม่รู้้จะไปออกทางไหนได้มากมายค่ะ เราจำเป็นต้องเคลียร์ทางให้เขาก่อนค่ะ

เป็นกำลังใจให้จ้า
บีม

ตอบคำถามจากอีเมลลูกค้าวันที่ 16-9-55


1) คนที่ใช้ครีมหรือยาตัวเดียวกับเรา  ทำไมพอหยุดใช้แล้วไม่เป็นสิวอย่างเรา
ระบบภายในเขาดีกว่าค่ะ คือ เขาเป็นสิวแบบชั่วคราว เช่น นอนดึก เครียด ฯลฯ แต่พอได้นอนเยอะ ระบบต่าง ๆ จะดีเองค่ะ แต่ของน้องจ๋าพี่เห็นมีสิวที่หลังด้วยและผิวไม่เรียบค่ะ ก็จะมีปัญหาที่ระบบภายในมากกว่าค่ะ ซึ่งจะเป็นจุดไหนเราก็ต้องคอยดูกันต่อไปหลังจากผ่านไปทีละ step ค่ะ

2) การรักษาสิว สามารถใช้ตัวบำรุงอื่นควบคู่ได้หรือไม่ 
ถ้าของพี่จะบำรุงได้ค่ะ พี่จะมี Fresh Aloe กับ Glutathione Gel และ Mixed Fruit ค่ะ คือ บำรุงมันมีหลายความหมายค่ะ ซึ่งเราก็ต้องมาดูสภาพผิวแต่ละช่วงอีกทีค่ะ ถ้าถามพี่คือ จริง ๆ แล้วต้องใช้ค่ะเพราะตอนรักษาสิว ผิวจะแห้งหน่อยค่ะ แต่ถ้าเป็นยี่ห้ออื่น พี่ไม่แน่ใจว่ายี่ห้อไหนจะใช้ด้วยกันได้บ้างค่ะ ต้องลองทดสอบดูเอง

3) เคยอ่านเจอในบล๊อกของพี่บีมว่า คนเป็นสิวไม่ควรทากันแดด แต่แดดแรงมาก กลัวหน้าจะเป็น กระ ฝ้า
คงจะเป็นข้อมูลเก่าแล้วค่ะ เพราะอย่างที่พี่เขียนบนหัวบล็อกหรือเน้นย้ำทางเฟสบ่อย ๆ ว่าให้ติดตามข้อมูลใหม่ ๆ ตอนนี้แดดแรงมากค่ะต้องทากันแดดด้วย แต่ในท้องตลาด พี่ไม่ค่อยเอาหน้าตัวเองไปทดสอบหลังสิวไม่มีแล้วค่ะ คือพี่ใช้ของตัวเองมาตลอดเลยหลังทำ MarryBeam มา ถ้าเป็นสูตรของพี่ก็จะมีตัวที่ใช้ได้เลยช่วงรักษาสิวคือ BB Brightening กับ UV Miracle ค่ะ ไม่อุดตัน ซึมเร็ว ชุ่มชื้น ไม่ก่อสิว และไม่ต้องใช้ Cleansing ก็ออกได้ดีแล้วคะ

4) ผลิตภัณฑ์ของพี่บีม หรือเป็นตัวสมุนไพรที่ขับสิวออกค่ะ 
หลัก ๆ แล้วถ้าที่ผิวหน้า มาส์กสาหร่ายกับมาส์กอุ่นจะทำงานล้างผิวค่ะ ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มรักษาสิวช่วยให้แห้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วสิวขับออกมาจากสมุนไพรและการปรับพฤติกรรมกว่า 80% ค่ะ ถ้าเลือดสกปรกมาก มาส์กสาหร่ายจะดึงสิวออกมาได้มากค่ะ พี่เลยต้องให้คนที่จะมารักษาสิวแนวพี่ต้อง pre-detox ก่อนเสมอค่ะ ทั้งหมดนี้พี่ปรับจากประสบการณ์ดูแลคนมาตลอดค่ะ 

5) ผลิตภัณฑ์พี่บีมถือว่าเป็นเวชสำองค์หรือป่าวค่ะ
เวชสำอางค์ค่ะ บำบัดผิวจริง ๆ 

6) ทุกคนที่ปรึกษากับพี่บีมต้องผ่านช่วงขับสิวทุกคนใช่ไหมค่ะ
สิวเรื้อรังจากสุขภาพและประเภทอยู่ในวงจรรักษาสิวนาน ต้องเจอทุกคนค่ะ

7) พี่บีมมีวิธีวิธีควบคุมตัวหรือมีวิธีคิดเองอย่างไร เมื่อเจออาหารที่เราอยากทานแต่ทานไม่ได้เพราะ บางทีหนูก็กินอาหารที่ตามใจตนเองแต่ไม่มีประโยชน์  
ถ้าสติอยู่เหนืออารมณ์ได้ มันจะทำได้เองค่ะ ถ้าหนูฝึกสติเข้มแข็ง หนูจะทำได้เอง 
ลองฝึกพิจารณาร่างกายและอาหารค่ะ ก่อนกินหายใจเข้าออกลึก ๆ เห็นร่างกายตัวเองเป็นเพียงธาตุขันธ์ อาหารคือธาตุขันธ์ ถ้าทานธาตุขันธ์ที่ไม่มีพลังชีวิต มีแต่ของเสีย กินแล้วไม่ได้ประโยชน์ กินแล้วทำร้ายตัวเอง พิจารณานาน ๆ ไปมันก็ไม่กินเองน่ะค่ะ 

เช่นเวลาพี่เห็นเนื้อ พี่จะเห็นภาพเขาตอนมีชีวิตและตอนถูกเชือด พี่เลยกินแบบไม่ติดรสชาติค่ะ ถ้าได้กินก็จะบอกเขาว่าเขาไม่ตายฟรีนะ พี่ขอบคุณที่เขาสละชีวิตค่ะ พี่จะนำร่างกายนี้ไปทำประโยชน์ต่อไป

หรือเวลาพี่เห็นเค้ก พี่ก็จะเห็นว่าในเค้กมีแต่แป้ง มีแต่อะไรที่ตายแล้ว ไม่ให้พลังเหมือนผักผลไม้สด กินไปก็ร้อนคอ ร้อนใน อึดอัด พี่ไม่ชอบอารมณ์นั้น พี่เลยไม่กินค่ะ

แต่กว่าจะได้แบบนี้ต้องผ่านการฝึกจิตค่ะ พี่ใช้วิธีนั่งสมาธิและพิจารณาอาหารตามจริงค่ะ

ยิ่งช่วงนี้หนูพึ่งใช้แนวทางนี้รักษาสิว หนูยังไม่เคยไปตรวจร่างกาย แต่เชื่อพี่ค่ะว่า คนเป็นสิวเรื้อรังยุคนี้มีจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวาน ไขมันพอกตับ อันจะนำไปสู่ตับอักเสบและตับแข็ง หากไม่ดูแล มะเร็งลำไส้ มะเร็งตามที่ต่าง ๆ ค่ะ คือ เราเริ่ม ๆ ละ แต่ร่างกายส่งสัญญาณมาก่อนค่ะ ดังนั้น ถ้าคิดได้ว่าเราไม่ใช่เป็นอะไรที่เบาๆ นะ เราจะรู้สึกว่าต้องจริงจังกับการดูแลตัวเองมากขึ้นค่ะ การทานอาหารด้วยเหตุผลและพลังใจที่มากพอจะทำให้เราเลือกกินอย่างมีสติได้มากขึ้นค่ะ

8) เป็นสิวอุดตันถ้าไม่บีบออก หรือกดออก มันจะออกมาเองได้หรอค่ะ 
บางเม็ดยุบเองได้จริงค่ะ แต่บางเม็ดไขมันมันเแข็งไปแล้ว ก็ต้องใช้เวชสำอางช่วย ถ้าใช้ครีมช่วยไม่ได้แล้ว ไอน้ำอุ่นไม่ได้แล้ว ก็ต้องเลเซอร์หรือกดออกค่ะ แต่ให้เป็นทางเลือกสุดท้าย กดไม่ดีก็เป็นแผลอีกค่ะ เป็นรอยอีก หรืออักเสบอีก รูขุมขนบิดเบี้ยวด้วย

9) เราจะรู้ได้ยังไงว่าผลิตภัณฑ์ไหนมีปรอทบ้าง 
เขามีวิธีทดสอบอยู่นะคะ เทสต์ออกมาแล้วจะมีสีดำเลยค่ะ หนูลองหาในเน็ตดู แต่โดยปกติครีมประเภทมีปรอทคือจะขาวเร็วมากและขาวเหมือนกระดาษค่ะ แต่พอสัก 3 สัปดาห์หรือ 1 เดือน ผิวจะเริ่มโดนแดดไม่ได้ สิวอุดตันหรือเม็ดเล็ก ๆ จะเริ่มขึ้นเต็มหน้าค่ะ รูขุมขนจะกว้างค่ะ ถ้าใช้นานกว่านั้นก็จะเป็นเหมือนจุดด่างขาวที่เห็นในแผ่นให้ความรู้ อย.น่ะค่ะ

ถ้าลองเก็บไม่ใช้เลยสัก 1 เดือน กระปุกจะเริ่มเปลี่ยนสีค่ะ ครีมก็แยกชั้น เปลี่ยนสี มีกลิ่น

ทางที่ดีอย่าไปซื้อครีมตามตลาดนัดน่ะค่ะ ก็กันได้เยอะละ แต่ก็ไม่เสมอไปค่ะ คือครีมมีปรอทนั้นส่วนใหญ่เขาจะเน้นขายคนรายได้น้อยค่ะ เพราะมันเห็นผลเร็วและขายได้ราคาถูกค่ะ ถ้าหนูไปซื้อในสถานที่ที่มีไว้ให้คนระดับกลางถึงสูงซื้อของ มักไม่เจอของลักษณะนี้ค่ะ

10) เราจะมีวิธีคิดอย่างไรค่ะ เมื่อเราต้องเจอกับคำถามที่ว่า “ไปทำอะไรมาสิวขึ้น ไม่ดูแลตัวเองหรอ”เพราะเราเคยหน้าใสอยุ่ช่วงหนึ่ง มันทำให้เรารู้สึกหดหู่ ไม่อยากไปไหน ไปทำอะเลย แม้กระทั่งไปเรียน
ถ้าหนูเคยอ่านบล็อกพี่แล้วเข้าใจ หนูก็อธิบายเลยค่ะว่า หนูมีปัญหาสุขภาพ แต่หนูกำลังจะเริ่มรักษาแล้วค่ะ พึ่งได้แนวทางที่ถูกต้องมา เดี๋ยวเขาก็เลิกถามเองค่ะ มันอยู่ที่ว่าหนูเข้าใจตัวเองและปัญหาของตัวเองมากน้อยแค่ไหนค่ะ ถ้าเรายิ่งเข้าใจมาก มันก็ทุกข์น้อยค่ะ และคนที่พูดนั้นก็ใช่ว่าเขาจะหน้าใสได้ตลอดไปนะคะ หนูยังอายุน้อย เพื่อนยังอายุน้อย หลายคนเที่ยวกระจายแต่หน้าใสอยู่ แต่กลุ่มนี้ล่ะค่ะ อายุ 25-30 ขึ้นไป สิวแบบหนูก็จะมาเยือนค่ะ ไม่ต้องห่วง พี่เจอมาหลายเคสแล้วแบบนี้ กลุ่มนี้จิตตกยิ่งกว่าเราอีกค่ะ ต้องไปหาหมอจิตเวชทุกคน เพราะเขาไม่เคยเป็นเลย เราเป็นเสียแต่ตอนนี้ค่ะ ศึกษาวิธีแก้ไขและดูแลสุขภาพไป ในวันที่อายุมากขึ้น หนูจะดูเด็กกว่าคนกลุ่มนี้ค่ะ เชื่อพี่ได้เลย

11) พอหนูเป็นสิวจะมีรอยสิวและจะหายได้ยากมาก หรือบางทีก็ไม่หาย  และก็มีหลุมสิว
รอยสิวเกิดจากระบบน้ำเหลืองไม่ดีค่ะ หลุมสิวบ่งบอกถึงร่างกายหนูมีสารอาหารกับพลังงานไม่พอไปรักษาแผลจากการอักเสบค่ะ หนูแค่ต้องหันมาล้างพิษและดูแลร่างกายดี ๆ ค่ะ 

12) หนูมีปัญหาเรื่องริ้วรอยด้วย หนูอายุ20ปี แต่มีริ้วรอยที่หน้าผากเป็นเส้น3เส้น ริ้วรอยใต้ดวงตา ใต้ตาหมองคล้ำ
ริ้วรอยเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมส่วนหนึ่ง วิธีใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ถูกส่วนหนึ่งและเกิดจากภาวะร้อนเกินในร่างกายอีกส่วนค่ะ หรืออาการขาดน้ำนั่นเอง 

13) ถ้าหนูกินลูกอมหรือหมากฝรั่งแก้ง่วงเวลาเรียนจะมีผลสิวขึ้นไหมค่ะ  หรือถ้ากินขนม  สองสามคำจะมีผลต่อสิวไหมค่ะ
ถ้ามันหวานมาก หรือขนมนั้นมี Trans Fat แล้วร่างกายหนูยังไม่ได้ล้างพิษหรือปรับระบบเลย แค่สองสามคำก็มีผลค่ะ ยิ่งช่วงล้างพิษ 3 เดือนแรก ห้ามแตะพวกนี้ค่ะ เพราะเมื่อร่างกายสะอาด เขาจะเร็วมาก หนูต้องดูแลร่างกายให้มันอัพเกรด ให้แข็งแรงและจัดการพิษได้เองก่อนจึงจะสามารถทานสิ่งเหล่านี้ได้เป็นระยะ ๆ ค่ะ โดยที่ร่างกายเขากำจัดออกเองได้โดยที่ไม่ขึ้นมาเป็นสิว 

14) ผลิตภัณฑ์พี่บีมช่วยเรื่องสิวเสี้ยวด้วยไหมค่ะ
ต้องลองใช้ดูก่อนค่ะ เพราะสิวเสี้ยนนั้นหลายครั้งเกิดจากการดูแลผิวกับใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ถูกวิธีค่ะ ถ้าลองปรับแก้ผลิตภัณฑ์และพฤติกรรมแล้วยังมีอยู่ ก็ต้องมาดูต่อค่ะว่าเกิดจากอะไร

15) พ่อแม่หนูไม่เป็นสิว แต่ทำไมหนูเป็น
รุ่นพ่อแม่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างไปค่ะ อีกอย่างหนูกับพ่อแม่มีจิตคนละดวงค่ะ คนเราทุกคนมีรอยโรคกรรมที่ติดตัวมาทั้งนั้นค่ะ อยู่ที่ว่าใครจะแสดงโรคอะไรค่ะ พอดีว่าเรามาแสดงออกทางนี้ค่ะ

16) หนูอ่านเจอในหนังสือว่าผิวพรรณที่เรามีอย่ในปัจจุบัน เป็นมาจากการส่งผลของกรรมที่เราทำมาในชาติก่อนๆ พี่บีมคิดว่ายังไงค่ะ
ใช่ค่ะ ส่วนหนึ่ง ผิวพรรณไม่ดีเพราะรักษาศีลไม่ครบ ส่งผลให้จิตเศร้าหมองค่ะ และอีกส่วนเกิดจากการกระทำในปัจจุบันค่ะ รอยโรคที่ติดตัวมามักรักษาไม่หายขาด แต่เราสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ด้วยการกระทำปัจจุบันค่ะทั้งการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม และถ้าใครพัฒนาจิตตัวเองได้มากขึ้น ละกิเลสได้มากขึ้น ละอารมณ์ลบที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ภพชาติได้มากขึ้น ผิวพรรณจะสว่างผ่องใสขึ้นเองค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่การพัฒนาจิตค่ะ

17) หนูเห็นว่าพี่บีมสนใจธรรมมะด้วย พี่บีมเคยไปปฏิบัติธรรมที่ไหนบ้างรึป่าวค่ะ หนูคิดว่าการปฏิบัติธรรมช่วยเราได้ในหลายๆเรื่องค่ะ แต่หนูยังไม่เคยไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
หนูลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านนะคะ "สงสัยมั้ย? ธรรมะ ฉบับรู้ทันทุกข์" https://www.facebook.com/photo.php?fbid=269066953194870&set=a.272111489557083.46148.235600909874808&type=3&theater แล้วหนูจะได้คำตอบค่ะ พี่เองไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกค่ะ แต่พี่ยึดคำท่านพุทธทาส การทำงานคือการปฏิบัติธรรม และเราทำได้ทุกที่ ทุกเวลา หนูรักษาสิวก็คือโอกาสปฏิบัติธรรมค่ะ มันคือการดูจิตของตัวเองให้ได้ทุกขณะ รู้ตัวทุกขณะ แต่พี่ไปเสถียรฯมาครั้งเดียวค่ะ ก็ได้อะไรกลับมาเยอะค่ะ คือถ้าเราไปปฏฺิบัติธรรมเหมือนเราไปเรียนอะไรเพิ่มค่ะ แต่พอออกมาจากวัดแล้ว เราต้องมาฝึกใช้เองให้ได้ตลอดด้วยค่ะ เป้าหมายสำคัญคือ ทำให้เราจิตสบายได้ตลอดทุกวัน ถ้าคนฝึกมาดี จิตละกิเลสได้มาก อารมณ์สุข ทุกข์ โลกธรรม ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ชิวมาก ไม่แบก

18) แล้วหนูก็มีปัญหาสิวที่หลังด้วยที่หน้าอกก็มีบ้าง จำได้ว่าเป็นตั้งแต่ช่วงประถมตอนป.5 สังเกตว่าตอนเหงื่อออกจะเป็น แต่ตอนนั้นไม่ค่อยดูแลตัวเองเลยเพราะไม่รุ้เรื่อง เพิ่งจะมาหาหมอตอนมัธยมต้น แล้วตอนนี้ก็เป็นอยุ่บ้าง และก็มีรอยสิวอยู่เต็มหลัง
ปรับปรุงสุขภาพโดยรวมก่อนค่ะ พี่แนะนำให้อ่านที่นี่ก่อนนะคะ http://www.marrybeamholistic.com/articles/42011649/MarryBeam%20FAQ.html มี 4 หน้า หนูก็อ่านให้จบค่ะ

19) อาหารที่ควรทานและควรหลีกเลี่ยง ช่วยยกตัวอย่างประเภทของอาหาร ยำ ผัดผัก ปลาทอก ทานได้หรือป่าว
มีในลิงค์ที่ให้ไปแล้วนะคะ น่าจะหน้า 4 ค่ะ หนูลองเปิดดูคะ
ยำทานได้ค่ะ แต่อย่าให้รสจัด และอย่าให้เขาใส่ผงชูรส
ผัดผักพอได้ค่ะ แต่ต้องเลือกน้ำมัน ห้ามใช้น้ำมันทอดซ้ำ และหนูพยายามหาผัดแบบไม่ใส่น้ำมันก่อนดีกว่าค่ะ คือ หนูต้องสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองทานของมันแล้วเป็นอย่างไรค่ะ หลายคนทานของมัน ๆ ใช้น้ำมันปรุงแล้วจะท้องอืดค่ะ แสดงว่ายังทานไม่ได้ค่ะ ไขมันเต็มตัวเลย แนะนำเป็นอาหารต้ม นึ่ง ลวก คือ อะไรก็ได้ที่ไม่มีน้ำมันค่ะ และไม่ใช่ว่าจะทานไม่ได้ตลอดไปค่ะ ต้องสังเกตตัวเองค่ะ ถ้าทานได้เมื่อไหร่ เราก็จะไม่อืด ไม่เป็นอะไรหลังมื้อค่ะ

20) ควรออกกำลังกายตอนเช้าหรือไม่ เพราะออกกำลังกายตอนเย็นจะทำให้ง่วงนอน จนไม่อยากทำอะไร
อันนี้แล้วแต่หนูค่ะ เช้าก็ได้ค่ะ เอาตามสะดวก

21) ตื่นมาหน้ามันมากๆ
เป็นธรรมดาของทุกคนที่เป็นสิวค่ะ เพราะไขมันในร่างกายเยอะนั่นล่ะจ้า

22) ตอนนี้เป้นสิวหัวขาวเยอะมาก
ธรรมดาจ่ะ ค่อย ๆ ดูแลตัวเองไปเดี๋ยวดีขึ้นเอง อย่ากังวลค่ะ ร่างกายเราตอนนี้เป็นผลมาจากการกระทำในอดีตค่ะ แต่เรากำลังจะทำใหม่ เราก็จะได้ผลลัพธ์แบบใหม่ค่ะ 

23) ถ้าพี่บีมมีผลิตภัณฑ์ดีท๊อกซ์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
พี่แนะนำไปแล้วในอีเมลก่อนนะคะ ตามนั้นเลย

**************************************************************
ตอบคำถามด้านล่างนี้เพิ่มเติมนะคะ

ตอนนี้หนูสามารถสั่งผลิตภัณฑ์ได้เลยใช่ไหมค่ะ
ค่ะ ตามที่แนะนำไปค่ะ

แล้วสิวเม็ดอักเสบแดงๆที่จะขึ้นช่วงล้างพิษจะขึ้นบริเวณไหนค่ะ
บางคนจะเป็นบริเวณที่เป็นสิวอยู่แล้วค่ะ ขึ้นมาจากเดิมที่อุดตันอยู่ค่ะ หลายคนอาจขึ้นบริเวณที่ไม่เคยขึ้นค่ะ ไม่สามารถบอกได้ อันนี้ร่างกายเราจัดการเองค่ะ เราจัดการอะไรไม่ได้เลย เราทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนที่ดีของเขาได้เท่านั้นค่ะ

sensitive แถว ๆ ข้างจมูกใช่ไหมคะ คือ ถ้าหน้ามันมาก ๆ จะไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ อ้อ ช่วงล้างพิษจะหน้ามันขึ้นด้วยค่ะ คือ เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องตกใจค่ะ 
ใช่ค่ะ แล้วหน้ามันจะควบคุมยังไงดีค่ะ ใช้กระดาษซับหน้ามัน หรือใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดหน้าระหว่างวันได้มั้ยค่ะ
ใช้ได้ค่ะ ช่วงแรก ๆ คงต้องใช้วิธีเหล่านี้ไปก่อนค่ะ ถ้าหน้ามันมากนะ

แล้ววิตามันซีทานของBlackmores หรือ NatCดีค่ะ
หนูว่าตัวเองทานอะไรแล้วรู้สึกโอเคก็ทานอันนั้นน่ะจ๊ะ แต่ตัวพี่ชอบ Blackmores ค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
พี่บีม

Friday, September 14, 2012

ถาม-ตอบ: ผิวแพ้ง่าย ฮอร์โมน แพ้มะนาว งดครีมบำรุงสำหรับผิวเป็นสิว

1. เราเป็นคนแพ้ง่ายมาก  ผิวเซนซิทีฟ  ถ้าร่างกายไปรับเคมีอะไรมา  มันจะออกทันที
อย่างเช่น เมื่อเดือน ม.ค. 55 เราไปซื้อครีมเปลี่ยนสีผมมาทำเอง  (ปกติไม่เคยทำสีผมเลย)  ตั้งแต่ย้อมผม รู้สึกว่า  สิวขึ้นเยอะ  และคันๆหน้าบริเวณกราม  ร้อนๆหน้าและตัวบริเวณฝั่งขวา  แบบนี้เกี่ยวกับการเกิดสิวไหมคะ
อาการผิว Sensitive ในมุมของบีมคือ อาการที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอค่ะ ระบบภูมิคุ้มกันนี้เกี่ยวข้องกับอาการอักเสบเรื้อรังที่เราได้รับมาจากการใช้ชีวิตและการรักษาสิวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาค่ะ ถ้าคุณติ๊กเคยอ่านบล็อกคงพอจะจำเรื่องนี้ได้ค่ะ ซึ่งการอักเสบเรื้อรังเป็นสาเหตุต้น ๆ ของโรคเรื้อรังทุกอย่างรวมทั้งสิวด้วยค่ะ 


2. เราคิดว่าเราน่าจะมีปัญหาเรื่องฮอร์โมน  เพราะเป็นคนขนยาว  ทั้งแขน ขา  แต่ประจำเดือนมาปกตินะคะ  ตรงเวลาและไม่มีปัญหาปวดท้อง  แต่เวลาประจำเดือนใกล้มา สิวจะปะทุทุกที  อันนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนไหม
ปัญหาฮอร์โมนมีหลายแบบค่ะ อย่างบีมพอท้องสิวก็จะขึ้น นี่คือฮอร์โมนขนานแท้
หรือตอนที่เราเปลี่ยนจากเด็กสู่วัยรุ่น ก็คือฮอร์โมนจริง ๆ 
หรือเกิดมาก็ขนดกเลย แสดงว่าโดยธรรมชาติหรือโดยกรรมที่พามาเกิดเรามีธรรมชาติหรือจิตของชายแต่อยู่ในร่างกายผู้หญิงค่ะ อันนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากและต้องยอมรับไปค่ะ แต่มันเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ ถ้าจิตใต้หรือไร้สำนึกของเราเปลี่ยนแปลง

แต่นอกเหนือจากนั้น ปัญหาฮอร์โมนจะเกี่ยวกับ
  • อารมณ์ (เสียเป็นส่วนใหญ่ค่ะ เพราะฮอร์โมนเขาทำงานอยู่กับระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งต่อมไร้ท่อเขาจะทำงานภายใต้ระบบจิตใต้หรือไร้สำนึกค่ะ ซึ่งจะเกี่ยวกับสมอง อารมณ์ของเราอันเป็นผลมาจากกิเลสหรือปัญญาที่เรามีน่ะค่ะ ถ้าคุณติ๊กศึกษาเรื่องธรรมะ จะพอเข้าใจได้ดีค่ะ)
  • อาหาร ถ้าเมื่อก่อนกินเนื้อ นม ไข่มามาก โอกาสได้รับฮอร์โมนส่วนเกินก็มีมากค่ะ
  • การทานยาคุมหรือรับฮอร์โมนเพิ่มเติม
ประมาณนี้ค่ะ

ร่างกายผู้หญิงเกี่ยวข้องกับระบบฮอร์โมนมากกว่าผู้ชายค่ะ เพราะเรามีรอบเดือน แต่สิวก่อนประจำเดือนสามารถป้องกัน ได้ค่ะถ้าเรารู้วิธี ปริมาณและขนาดจะลดลงเรื่อย ๆ ค่ะ อย่างบีมนี่ เมื่อก่อนพอประจำเดือนจะมา สิวอักเสบจะขึ้นค่ะ แต่พอรักษาตัวเองดีแล้ว มันจะขึ้นแค่สิวอุดตันเองค่ะ แต่ถ้าดูแลตัวเองดีมากช่วงไหน มันไม่ขึ้นเลยค่ะ

3. ผิวที่แพ้กรดจากมะนาว  ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูนานมากแค่ไหนคะ

ตอนบีมแพ้มะนาวด้วยสูตร มะนาว น้ำผึ้ง โยเกิร์ต บีมใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ค่ะ ก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงเริ่มปฏิบัติการธรรมชาติบำบัดด้วยค่ะ บีมไม่ใช้อะไร มีแค่สบู่ (ตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อะไรค่ะ เพราะกลัว ไม่อยากใช้อะไรเลย แต่สบู่มันไม่ดีต่อผิวในระยะยาวค่ะ ใช้ 3 เดือนเหี่ยว) และตอนที่แพ้นั้นก็ใช้ไข่แดงพอกหน้าทุกวันค่ะ มันก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนครบ 7 วันค่ะ บีมว่าปัญหาหลังแพ้มันอยู่ที่ว่าเราดูแลผิวอย่างไรและใช้อะไรกับผิวบ้างน่ะค่ะ

4. ตอนนี้งดทากันแดด  งดทาครีมทุกอย่าง  ทาแต่แป้งฝุ่นอย่างเดียว  ถ้าไม่ทาม๊อยเจอไรเซอร์ หน้าจะมีปัญหาไหมคะ  (กลัวเหี่ยว)

ของบีมมีมอยเจอร์ที่ผิวเป็นสิวใช้ได้นะคะคุณติ๊ก ถ้าถามบีมว่าไม่ใช้บำรุงแล้วผิวจะ เหี่ยวไหม ถ้าเราดูแลจากภายในดี ระบบต่าง ๆ ดีแล้ว ผิวไม่มีเหี่ยวค่ะ ดูพระทรงศีล ดูแม่ชีสิคะ ท่านก็ไม่ได้ใช้อะไรใช่ไหมเอ่ย บีมก็ได้รู้จักคนที่แทบไม่ใช้อะไรแต่ผิวเด้งมาก เขาบอกว่าเขานั่งสมาธิเป็นหลักค่ะ เรื่องจริงเลย บางคนแค่นั่งสมาธิ สวดมนต์ ออกกำลัง และมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ผิวเด้งมากค่ะ บีมเชื่อว่ามันมาจากภายใน 100% ค่ะ แต่ถ้าเรายังทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็ต้องมีตัวช่วยเติมและปรับสมดุลน้ำที่ผิวน่ะค่ะ

Tuesday, September 4, 2012

ยาทาสำหรับผิวหนังอักเสบ (สเตียรอยด์และผลแทรกซ้อน)

ยาทาสำหรับผิวหนังอักเสบ

การอักเสบของผิวหนังอาจเกิดจากภาวะภูมิแพ้, การสัมผัสกับสารเคมีที่ระคายเคือง, ถูกแดดจ้า, แมลงสัตว์กัดต่อย และอื่น ๆ อีกมากมาย ยาทาผิวหนังประเภทสตีรอยด์ เป็นยาที่ถูกนำมาใช้ลดการอักเสบของผิวหนังจากเหตุต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพื่อการรักษาในทุกกรณี มักใช้ยาทาสตีรอยด์ในโรคผิวหนังที่มีการอักเสบน้อย ผลการใช้ยาทาสตีรอยด์ นั้นจะทำให้อาการอักเสบของผิวหนัง อันได้แก่ อาการบวม, แดง, คัน, น้ำเหลืองเยิ้มลดลง จนกระทั่งหายเป็นปกติ

รูปแบบของยาตีรอยด์ชนิดใช้ กับผิวหนัง มีทั้งลักษณะเป็นครีม, ขี้ผึ้ง, ยาน้ำ และชนิดพ่นเป็นละอองฝอย ยาเหล่านี้มีฤทธิ์แรงต่างกัน ซึ่งจำแนกได้ 3 ระดับ คือ
1. ชนิดฤทธิ์อ่อน ได้แก่ 
                   
                 ชื่อยา
      ความเข้มข้น
ฮัยโดรคอร์ติโซน
เด็กซาเมทาโซน
เพร็ดนิโซโลน
ไตแอมซิโนโลน
ฟลูโอซิโนโลน อะซีโทไนด์
        0.25 - 2.5 %   
                   0.1 %
                   0.5 %
                 0.02 %
                 0.01 %


2. ชนิดฤทธิ์ปานกลาง ได้แก่ 
                   
                 ชื่อยา
     ความเข้มข้น
 เบต้าเมทาโซน วารีเลต
ไตรแอมซิโนโลน
ฟลูโอซิโนโลน อะซีโทไนด์
          0.1 %
          0.1 %
      0.025 %
 

3. ชนิดฤทธิ์แรง ได้แก่       

                   ชื่อยา
      ความเข้มข้น
เบตาเมทาโซน ไดโปรปริโอเนต
เดสออกซิเมทาโซน
ไตรแอมซิโนโลน อะซีโทไนด์
โคลเปทาโซน โปรปริโอเนต
ไดโฟลราโซน ไดอะซิเทต
ฮัลซิโนไนต์ 
           0.05 %
           0.25 %
           0.5 %
           0.05 %
           0.05 %
           0.1 %

โดยทั่วไปแพทย์มักเลือกยาชนิดฤทธิ์อ่อนใช้ก่อน เมื่อไม่ได้ผล จึงค่อยขยับไปใช้ชนิดที่มีฤทธิ์ปานกลาง และชนิดฤทธิ์แรงตามลำดับ

ผลแทรกซ้อนจากการใช้ยาสตีรอยด์ชนิดทา คือ
ก. เมื่อใช้ทาเฉพาะที่
1. คนที่ทายาติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ใช้ยาทาแก้ฝ้าซึ่งมักผสมสตีรอยด์ หรือทายาชนิดฤทธิ์
แรง บนผิวหนังเด็ก ซึ่งเป็นผิวหนังที่บอบบาง มักทาให้ผิวหนังบางเป็นมันหรือบุ๋มลงไป และย่นเหมือนกระดาษ มวนบุหรี่ และมีเส้นเลือดฝอยที่ผิวขยายตัวจนเห็นได้ชัดบนผิวหนัง มีจ้ำเลือดปรากฏใต้ผิวหนัง
2. ผิวหนังบริเวณข้อพับ, รักแร้ มักแตกปริเมื่อใช้ยาที่มีฤทธิ์ปานกลางทาที่บริเวณเหล่านี้ติดต่อกันนานกว่า 1 เดือน
3. ทำให้เกิดสิวหัวดำ หรือตุ่มหนองสิว เมื่อทาแบบละเลงเป็นบริเวณกว้างที่หน้า, หน้าอก และหลังติดต่อกันได้ระยะหนึ่ง
4. อาการสิงหน้าแดง และการอักเสบตามแก้ม จมูก และรอบริมฝีปาก
5. เกิดต้อหิน (มีอาการปวดตา, ตามัว, ตาแดง) ได้ ถ้าทารอบตา
6. เกิดการกำเริบหรือแทรกซ้อนของการติดเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา และเชื้อไวรัส
7. มีขนขึ้นผิดปกติที่บริเวณทายา
8. ผิวสีซีดกว่าเดิม

ข. ใช้ทั่วร่างกาย

คน ที่ทายาเป็นปริมาณมาก หรือห่อหุ้มบริเวณที่ทายาด้วยพลาสติก ซึ่งทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากจนเกิดปัญหาเช่นเดียวกับการกินยา จะทำให้ต่อมหมวกไตถูกรบกวน, หน้าบวมฉุ, ผิวหนังแตกปริ เป็นต้น

ข้อควรระวังระหว่างใช้ยา
1. ถ้าใช้ยานี้ทาบริเวณร่มผ้าในเด็ก อย่าสวมผ้ากันเปียกที่เป็นพลาสติกให้ เพราะจะทำให้ตัวยาถูกดูดซึมเข้าร่างกายมากเกินไป
2. อย่าใช้ยานานและบ่อยกว่า ที่แพทย์แนะนำ
3. ระวังอย่าให้ยาเข้าตา, รูจมูก และปาก
4. ไม่ควรทาเครื่องสำอาง หรือยาอื่นใดบนผิวหนังส่วนที่กำลัง ใช้สตีรอยด์ทา
5. เวลาทายาแต่ละครั้ง ควรทาเพียงบาง ๆ เพราะการทายาหนาเกินไป นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแล้ว ยังทำให้ร่างกายดูดซึมยาเข้าไปมากเกินควร
6. สำหรับโรคผิวหนังที่มีขุยหนา หรือผิวค่อนข้างหยาบด้าน ซึ่งมักจะเป็นเรื้อรัง เมื่อทายาจึงควรคลึงบริเวณดังกล่าวสักครู่ เพื่อให้เนื้อยาซึมเข้าไปได้ดี
7. กรณีที่เป็นยาสตีรอยด์ที่ใช้กับเยื่อบุช่องปาก เช่น ยาลดการอักเสบของแผลแอฟทัส (Aphtous ulcer) ในปาก ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “แผลร้อนใน” ให้ใช้วิธีกดเนื้อยาให้แผ่เป็นแผ่นฟิล์มติดแน่นกับก้นแผล แทนที่จะทาแบบที่ใช้กับผิวหนัง
8. ถ้าลืมทายาตามเวลาที่แพทย์แนะนำ ให้รีบทาทันทีที่นึกได้ และไม่จำเป็นต้องทาให้หนาเพิ่มเป็นพิเศษ แม้เวลาที่นึกได้จะไปตรงกับกำหนดการทาครั้งต่อไปก็ตาม

จาก http://www.doctor.or.th/article/detail/6534

Monday, September 3, 2012

สเตียรอยด์ทำงานอย่างไร


สเตียรอยด์เป็นสารที่มีการใช้กันมากในการรักษาและลดอาการแพ้ทั้งที่ผิวหนังและระบบภายในร่างกาย จากบทความ How Typical Steroids Work ในเว็บ http://dermatology.about.com/cs/medications/a/steroidswork.htm ได้กล่าวไว้ว่าสเตียรอยด์มีกลไกการทำงานต่ออาการแพ้ดังนี้

1.       เปลี่ยนสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ – โมเลกุลของสเตียรอยด์จะถูกส่งผ่านเข้าไปยังนิวเคลียสของเซลล์โดยเข้าไปทำปฏิกิริยากับ DNA ทำให้เซลล์นั้นผลิตสารที่ชื่อว่า lipocortins ที่ไปยับยั้งการผลิตกรดอะราชิโดนิก (arachidonic acid) ซึ่งถ้าขาดสารตัวนี้ สารตัวอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบจะไม่ถูกผลิตขึ้น สารสำคัญที่ว่านั้น คือ prostaglandins, leukotrienes, and platelet-activating factor ก็จะทำให้อาการอักเสบลดลง (การอักเสบคือกระบวนการที่ภูมิคุ้มกันร่างกายเข้าจู่โจมสิ่งแปลกปลอมและกำจัดออก รวมถึงความพยายามในการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บของร่างกาย เป็นกระบวนการที่ร่างกายรักษาตัวเองตามธรรมชาติจากการบาดเจ็บนั่นเอง ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย – บีม)


2.       ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวลง ซึ่งโดยปกติแล้ว ผิวบริเวณใดที่เส้นเลือดฝอยพองหรือขยายตัว จะแสดงให้เราเห็นเป็นอาการแดง ร้อนและบวม ดังนั้นถ้าทาตัวยาที่มีสเตียรอยด์ก็จะทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวและลดอาการร้อน บวม แดง ได้ทันที (เลยเห็นผลเร็วและห้ามทาเกิน 3-7 วัน ทานาน ๆ ไปสารอาหารมาที่ปลายสุดของผิวหนังไม่ได้ เซลล์ผิวก็ไม่ได้สารอาหาร น้ำ อากาศจากเส้นเลือด ก็อ่อนแอในระยะยาวแน่นอน – บีม)


3.       เปลี่ยนแปลงระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย – สเตียรอยด์เปลี่ยนแปลงหน้าที่การทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน และยังทำให้เม็ดเลือดขาวไม่สามารถรู้ได้ว่าอันไหนคือเซลล์แปลกปลอมของร่างกาย และทำให้มีความสามารถในการต่อสู้และกำจัดเซลล์แปลกปลอมได้ลดลง
ในยารักษาสิวและยาแก้แพ้หลายขนานมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ถ้าจำเป็น ไม่ควรใช้นานเกิน 3-7 วัน เพราะจะส่งผลให้ผิวและสุขภาพโดยรวมเสื่อมลง เพราะภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติความสามารถลดลง ทำให้อ่อนแอลงในระยะยาวและต้องพึ่งยาตลอดไปตราบที่ไม่สามารถฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตัวเองให้แข็งแรงขึ้นได้


ในยารักษาสิวและยาแก้แพ้หลายขนานมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ถ้าจำเป็น ไม่ควรใช้นานเกิน 3-7 วัน เพราะจะส่งผลให้ผิวและสุขภาพโดยรวมเสื่อมลง เพราะภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติความสามารถลดลง ทำให้อ่อนแอลงในระยะยาวและต้องพึ่งยาตลอดไปตราบที่ไม่สามารถฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตัวเองให้แข็งแรงขึ้นได้

---------------------------------------------------
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ สิวซีเคร็ต ฉบับปรับปรุงใหม่ (ยกเล่ม) ที่บีมกำลังนั่งเขียนอยู่ขณะนี้ค่ะ