Sunday, November 4, 2012

อาหารที่ควรกินและไม่ควรกิน


ทำลักษณะคำถามคำตอบนะคะ....


น้องหวาน : พี่บีมคะ หนูมีคำถามเพิ่มเติมค่ะ คือ หนูอ่านข้อมูลของพี่และดูคลิปวิดีโอหนูก็ยังจับจุดไม่ถูกค่ะว่า หนูควรมีหลักเกณฑ์ในการเลือกทานอาหารอย่างไรดีคะ เพราะดูจะเยอะไปหมดเลย


บีม : ถ้างง ๆ นะคะ พี่ให้หลักเริ่มต้นก่อนนะคะ 
1.     งดอาหารที่ก่อโทษ
2.     งดอาหารที่เราแพ้
3.     เลือกทานอาหารที่สด สะอาด ไม่แปรรูป มีรสและรูปจากธรรมชาติให้มากที่สุด หากจะปรุง ก็ปรุงด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้น ๆ และให้อาหารนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วยังคงมีสารอาหารหรือคุณสมบัติทางยาอยู่ค่ะ

อาหารที่ก่อโทษ หมายถึง อาหารที่ตรงข้ามกับข้อ 3. เลยค่ะ คือ อะไรก็ตามที่กินแล้วร่างกายไม่รับ ถือว่าเป็นของแปลกปลอมและเอาไปใช้ไม่ได้มาก หรือเป็นอาหารที่ถ้าทานแต่น้อยไม่เป็นไร แต่ถ้าทานเป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมได้ค่ะ

ตัวอย่างอาหารก่อโทษนะคะ

1.     อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเกือบทุกอย่างยกเว้นการแช่แข็ง (Freeze) ซึ่งเป็นการคงความสดของอาหารโดยผ่านความเย็นมาก ๆ นอกเหนือจากนั้นมักจะใส่สารกันเสียและสารปรุงแต่งเพื่อให้อาหารนั้นคงอยู่บนหิ้ง (shelf) ได้นานค่ะ แต่ถ้าเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไม่ได้จริง ๆ อย่างเวลาพี่เองเดินทางแล้วหิวแล้วไม่ได้เตรียมอะไรไปกิน พี่จะมีหลักการเลือกแบบนี้ค่ะ

- เลือกที่เขียนว่าไม่มีสารกันบูด สารกันเสีย ก่อนเลย
- เลือกที่ไม่มีผงชูรสหรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ (หลัก ๆ เลยจะเป็นโมโนโซเดียมกลูตาเมตค่ะ)
- คราวนี้ไปดูที่ตารางส่วนผสมค่ะ อะไรที่มีโซเดียม ไขมันชนิด Trans น้ำตาลที่สูงเกิน 20 และไขมันอิ่มตัวมากเกินไป พี่จะคัดออกค่ะ 
- ส่วนใหญ่เวลาไปร้านสะดวกซื้อ พี่จะซื้อนมถั่วเหลืองแลคตาซอยค่ะ เพราะพี่ไม่แพ้ กินแล้วอิ่มดี (ซึ่งพี่เคยบอกทางหน้าเพจว่านมถั่วเหลืองย่อยยากและไม่ดี แต่คือพี่สังเกตตัวเองว่าพี่ไม่มีปัญหากับมันนะคะ และเป็นยี่ห้อเดียวที่พี่รู้สึกว่าถูกปากพี่ กินแล้วอิ่มท้องค่ะ ยี่ห้ออื่นทำไซส์เล็กไปค่ะ พี่กินไม่อิ่ม หุหุ แต่น้ำตาลสูงค่ะ กินเยอะไปก็สิวอุดตันขึ้นได้ค่ะ ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มรักษาตัวเองเท่าไหร่ค่ะ แต่เลือกสูตรน้ำตาลน้อยได้ค่ะ คือ เรื่องนมก็แล้วแต่ใครจะชอบยังไงค่ะ ก็เลือกกันเองค่ะ โดยดูที่น้ำตาลกับไขมันอิ่มตัวเป็นหลักค่ะ แต่คนผอมอยู่แล้วอย่าไปเลือกน้ำตาลที่ต่ำกว่า 10 กรัมนะคะ พี่เคยกินแล้วผอมมากมายเลย เอาเป็นว่าไม่เกิน 20 กรัมกำลังดี และถ้าเป็น % ก็ลองคำนวณออกมาเองนะคะ โดยเอาปริมาตรหรือมวลรวมของนมหรือเครื่องดื่มนั้น ๆ มาคำนวณให้เป็นหน่วยกรัมอีกทีค่ะ แล้วจะทราบว่ามีน้ำตาลเท่าไหร่  ทำไมถึงไม่ให้กินหวานหรือน้ำตาลเยอะ อ่านที่นี่นะคะ สาเหตุของสิวแบบเจาะลึก 1: ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งมากเกินไป

สาเหตุที่เขาเป็นอาหารก่อโทษก็เพราะ

สารกันบูด กันเสีย ผงชูรสและสารปรุงแต่งอื่น ๆ  - ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ตับต้องไปแยกสลาย ซึ่งในกระบวนการแยกสลายก็อาจเป็นพิษต่อตับได้อีกค่ะ ถ้าตับอ่อนแออยู่แล้ว กระบวนการแยกสลายและลดพิษของตับไม่สำเร็จ พิษนี้จะเข้าสู่เลือดแล้วไหลวนไปทำร้ายเซลล์ทั่วร่างกายได้กว่าจะถูกไตไปคัดกรอง (ทำให้ไตทำงานหนักอีกถ้ากินของผ่านกระบวนการเยอะ) แล้วขับออกทางปัสสาวะ ซึ่งถ้าใครทานยามาเยอะ หรือทำงานหนักจนไตเสื่อมแล้ว การคัดกรองสารพิษก็ทำได้น้อยค่ะ พิษก็ไม่รู้จะไปออกทางไหน ก็ออกมาทางผิวนั่นแหละค่ะ

โซเดียม - จริง ๆ แล้วเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการค่ะ เวลาบีมเลือกจะเลือกที่ดีที่สุดไม่เกิน 30 กรัม ยังพอหยวน ๆ คือ 50 กรัม ค่ะ ขนมบางยี่ห้อ และของกินหลายอย่างโซเดียมเกือบ 1,000 ค่ะ ยิ่งพวกของแห้งนี่จะตัวดีเลย ถ้ายิ่งมีรสเค็มนี่ก็ให้สังเกตโซเดียมก่อนเลยค่ะ ทะลุฟ้า การทานโซเดียมมากไปทำให้ไตทำงานหนักค่ะ ลองค้นใน Google ด้วยคำว่า "โซเดียม บวมน้ำ" เพื่อศึกษาข้อมูลของผลเสียของโซเดียมที่เราได้รับมากเกินไปดูค่ะ

ไขมันทรานซ์ (Trans) - เป็นไขมันแปรรูปค่ะ เป็นอีกตัวที่ร่างกายไม่ต้องการ เอาไปใช้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ http://www.depthai.go.th/dep/doc/52/52002887.pdf

ไขมันอิ่มตัว - จริง ๆ แล้วไขมันนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยกับร่างกายถ้ารับในปริมาณพอเหมาะและคนที่รับนั้นต้องสุขภาพดี ระบบย่อยสมบูรณ์ด้วยค่ะ แต่คนสมัยนี้ทานไขมันอิ่มตัวกันเยอะโดยไม่รู้ตัว และรับมากเกินไปจึงทำให้การรับเพิ่มนั้นเกิดปัญหา ร่างกายถือว่าเป็นส่วนเกินที่นำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ค่ะ

น้ำตาล  - พูดถึงไปแล้วนะคะ อ่านในลิงค์ที่ให้ค่ะ และบีมสรุปอีกทีว่า ทานน้ำตาลทำให้อ้วน เป็นสิวอุดตัน หน้ามันและผิวเหี่ยวเร็วค่ะ มันคือเพชรฆาตทางสุขภาพเลยค่ะ อ่านบทความของแพทย์ศาสตร์ชะลอวัยเยอะ ๆ ค่ะ เขาจะพูดถึงข้อเสียของน้ำตาลต่อสุขภาพเยอะมากค่ะ

ไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว อย่างไหนที่ร่างกายต้องการ

2.     อาหารที่ผ่านเตาอบไมโครเวฟ มีข้อถกเถียงกันว่าอาหารที่ใช้เตาไมโครเวฟนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แต่จากที่นก (ที่ปรึกษา freelance ของเรา) ทดลองเปลี่ยนจากการใช้เตาไมโครเวฟมาทำอาหารเองโดยซื้อกระทะไฟฟ้า เธอยืนยันว่าการใช้เตาไมโครเวฟทำให้อาหารนั้นทำลายสุขภาพ คลื่นที่ไปกระทบอาหารทำให้โมเลกุลอาหารเปลี่ยนแปลง ทำให้อาหารนั้นกลายเป็นอาหารย่อยยาก ซึ่งพอนกเปลี่ยนมาทำอาหารเองแม้จะใช้เวลาไม่นาน (และเธอก็อยู่อพาร์ทเมนต์นะคะ เมื่อก่อนก็ซื้อนอกบ้านทานและใช้เตาอบค่ะ ตอนนี้เปลี่ยนเพื่อสุขภาพค่ะ และผลคุ้มค่าค่ะ) นกสามารถแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้จากการที่เริ่มมาทำอาหารทานเองค่ะ และเธอยังมีข้อมูลอีกว่า เธอสังเกตน้องที่ทำงานคนหนึ่ง จะทานอาหารสำเร็จรูปที่ต้องอุ่นจากเตาไมโครเวฟที่ร้านสะดวกซื้อตลอดค่ะ จากคนหน้าใสไม่เป็นสิวเลย ทานแบบนี้ไปสักพักใหญ่ ผิวก็หมองลงและเป็นสิวค่ะ และผู้ที่ดูแลสุขภาพตามแนวธรรมชาติ เขาก็เลิกใช้เตาไมโครเวฟกันแล้วค่ะ เขาจะทานอาหารปรุงสดกันมาก ๆ ค่ะ อาหารค้างคืนจะไม่ค่อยทานกัน ถ้าจะอุ่นก็ใช้ไฟจากเตาเอาค่ะ
3.     อาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบไม่มีคุณภาพและไม่มีอนามัยที่ดี อันนี้ต้องเลือกร้านกันหน่อยนะคะ เลือกที่สะอาด ให้เรารู้ว่าวัตถุดิบเขาเอามาจากไหนยังไงได้ยิ่งดีค่ะ ถ้ายิ่งเราได้เห็นว่าเขาล้างผักยังไง คือรู้ไปถึงรายละเอียดยิ่งดีค่ะ เพราะเราฝากชีวิตไว้กับมือคนอื่น เราควรต้องรู้มากที่สุดว่าเรากำลังกินอะไรเข้าไปค่ะ

ยกตัวอย่างเช่น
- ผักผลไม้ที่มีสารปนเปื้อนเต็มไปหมด แต่ล้างไม่สะอาดแล้วเอามาใส่จานผักสดให้เราทานกัน (ถ้าบีมทานส้มตำนอกบ้าน จะไม่ทานผักสดที่ให้มาด้วยค่ะ)
- ร้านขายอาหารบางร้านจะเอาของเก่ามาทอดน้ำมันเก่าซ้ำอีกเพื่อเอาขายในวันถัดไป ใครที่ใส่ใจในสุขภาพและทานของสดสะอาดเป็นประจำ จะรู้ได้ทันทีว่าของนั้นเก่าหรือไม่ค่ะ ลิ้นจะบอกและร่างกายจะไม่อยากรับเลยค่ะ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เลือกทาน จะไม่ทราบค่ะ เราไม่ได้ทำตัวให้อยู่ยากนะคะ แต่ถ้าเราอยากมีอายุยืนเพื่อทำประโยชน์ได้ต่อไป เราก็ต้องเลือกให้เป็นค่ะ เลือกร้านที่ทำของสะอาด ทิ้งวันต่อวัน ไม่เอาของเก่ามาขายต่อค่ะ
- ยิ่งถ้าใครชอบทานพวก หมูกระทะ ยิ่งต้องเลือกร้านค่ะ เพราะหนูต้องคิดว่า เนื้อปริมาณมากในแต่ละวันนั้นเขาเอามาจากไหนกันเยอะแยะ แล้วเราเห็นวิธีการเชือดเนื้อมั้ย ล้างสะอาดมั้ย สัตว์นั้นสุขภาพดีมั้ย หรือสัตว์อะไรก็ได้เอามาเชือดให้เรากิน แล้วเขาจะคัดคุณภาพมาให้หนูรึเปล่าคะ เริ่มต้นถามคำถามแค่นี้ ก็น่าจะทำให้เราระมัดระวังในการทานของเหล่านี้มากขึ้นค่ะ 
4.     อาหารที่มีแบคทีเรียและเชื้อโรคปนเปื้อน อาหารเหล่านี้มักมีการบูดเน่าประกอบด้วย อาจจะเป็นผักเก่า เนื้อเก่า ของเก่าเอามาทำให้เราทาน หรือผู้ประกอบอาหารล้างภาชนะไม่สะอาด ล้างมือไม่สะอาด เป็นโรคบางอย่าง และที่ต้องระวังก็คือไวรัสตับอักเสบค่ะที่มักจะมาพร้อมกับน้ำและอาหาร คนไทยเราอาจจะอยู่ในโซนที่มีเชื้อโรคเยอะเพราะอยู่เขตร้อน ทำให้มีภูมิต้านทานมากกว่าฝรั่ง แต่ถ้าฝรั่งเขามาที่เมืองไทย สิ่งที่เขาต้องระวังคืออาหาร พี่เคยมีเพื่อนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและมีเพื่อนต่างชาติมาทำงานที่ไทย สังเกตว่า เขาจะค่อนข้างต้องระวังอาหารค่ะ ส่วนใหญ่จะเลือกทานอาหารปรุงสุก และเขาจะไม่ใช้หลอดแต่จะดื่มจากขวดเลย เขาว่าหลอดสกปรกและเชื้อโรคเยอะค่ะ แต่ถ้าหลอดที่ใส่ในซองแบบนั้นเขาถึงจะใช้ค่ะ แต่พวกเราถ้าไม่เลือกทาน ไม่เลือกร้าน โอกาสรับเชื้อเข้าไปในร่างกายมีมากมายค่ะ ถ้าสุขภาพดีและทุกอย่างสมดุลก็ดีไปค่ะ แต่ถ้าเชื้อน้ันแรงและสุขภาพเราแย่ด้วย จะทำให้ป่วยหนักได้ค่ะ และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นิเวศวิทยาในลำไส้เสียสมดุลไปด้วยค่ะ คือ เชื้อร้ายมีมากกว่าเชื้อดี ซึ่งคนเป็นสิวตัวร้าย ๆ มีอยู่ในลำไส้มากกว่าอยู่แล้วค่ะ แนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับโรคลำไส้รั่วซึมได้ที่นี่ค่ะ http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/2/

5.     อาหารที่ใช้น้ำมันเก่าทอดซ้ำ น้ำมันใช้ประกอบอาหารได้เพียงครั้งเดียวค่ะแล้วต้องทิ้ง เพราะในน้ำมันที่ใช้แล้วนั้นจะมีอนุมูลอิสระที่ทำร้ายเซลล์เราอยู่แล้วค่ะ คือ ถ้าเอามาใช้ต่อก็ยิ่งเป็นพิษไปอีกไม่สิ้นสุด ถ้าเราไปทานอาหารตามร้าน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาใช้น้ำมันอะไรและเขาจะใช้น้ำมันใหม่ทุกครั้งหรือไม่คะ คำตอบคือไม่ใช่ค่ะ พี่แม็ค (สามีบีมผู้ชื่นชอบด้านอาหารและเคยเปิดร้านอาหาร) บอกว่า ถ้าร้านทั่วไปแล้วเขาจะใช้น้ำมันมากกว่า 1 ครั้งค่ะ และส่วนใหญ่ก็ใช้น้ำมันปาล์มกันค่ะ เพราะราคาถูก แต่ติดผนังลำไส้หนึบ ๆ เลย ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับลำไส้ของเราเมื่อทานของทอดน้ำมัน ก็ให้ดูผนังบ้านบริเวณที่ใช้ประกอบอาหารสิคะ คราบดำ ๆ นั้นล่ะค่ะ ที่มันจะไปอยู่ในลำไส้ของเราค่ะ แล้วเคลือบลำไส้ ทำให้การดูดซึมน้ำและอาหารไม่ดี กินเท่าไหร่ก็ไม่ได้อาหารและน้ำเท่าที่ร่างกายต้องการค่ะ ทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารและร่างกายจะดูเหี่ยว ๆ ขาดน้ำ เพราะเขารับน้ำจากภายนอกมาไม่ได้มากนัก ต้องดึงเอามาจากเซลล์ในร่างกายเอง อ่านเกี่ยวกับ "ภัยน้ำมันทอดซ้ำ" บทความโดยกระทรวงสาธารณสุขได้ที่นี่ค่ะ https://docs.google.com/open?id=0B7eIXMJehgzJamhQS2tveGNKMU0
          อาหารก่อโทษหลัก ๆ ที่เราพบในชีวิตประจำวันคงมีเท่านี้ค่ะน้องหวาน ต่อมาพี่จะอธิบายเกี่ยว  
          กับอาหารที่เราแพ้นะคะ

     6.    อาหารที่เราแพ้ พูดง่าย ๆ คือ อาหารที่ร่างกายของเราไม่ถูกกับเขา ร่างกายเราต่อต้าน แต่คน
         อื่นอาจไม่ต่อต้านค่ะ โดยร่างกายเราจะมีปฏิกิริยากับอาหารหรือสารในอาหารชนิดนั้น ๆ มากกว่า
         คนอื่น ๆ ค่ะ 
จากประสบการณ์ของตัวพี่เองและจากที่สังเกตคนเป็นสิวมามากมาย พบว่าอาหารที่
         คนเป็นสิวจะแพ้ ซึ่งอาการแพ้อาจไม่ได้เกิดภายในวันนั้นค่ะ บางคนทานไปแล้ว วันนั้นเหมือน

         ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อีก 2 วันถัดไปพบว่ามีสิวขึ้นได้ค่ะ เขาเรียกว่าแพ้อาหารแฝงค่ะ ภาษา  
         อังกฤษจะใช้คำว่า Delayed Food Allergy ค่ะ ซึ่งคนอาจจะสังเกตไม่ค่อยได้ค่ะว่าเขาแพ้อาหาร
         อะไรหากเกิดอาการแพ้ลักษณะนี้ค่ะ เพราะมันไม่แสดงทันที แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะ
         แพ้อาหารแฝงที่นี่ค่ะ http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/3/
         พี่มองว่ามันเป็นโรคของคนยุคใหม่ค่ะ ยุคปู่ย่าตายายเราคงไม่มี ทั้งนี้เพราะสมัยนี้พิษรอบตัวมัน
         เยอะเกินไปค่ะ และเราไม่ทันระวังตัว เราก็รับพิษมาเต็มสตีมเสียแล้ว คราวนี้ภูมิคุ้มกันเราก็จะระ
         แวดระวังอะไรมากกว่าปกติ ทำให้อะไร ๆ ก็ดูจะแพ้ไปหมดค่ะ คือ เขาเห็นอะไรแปลกปลอมหน่อย
         ก็จับเลย มีปฏิกิริยาเลย ทั้งที่เมื่อก่อนมันเป็นตัวที่เขาไม่สนใจจะจับ จากข้อมูลที่พี่เก็บมาจาก
         ลูกค้านะคะ พบว่า คนเป็นสิวจะมีอาการแพ้อะไรเหมือน ๆ กัน เหมือนอย่างที่คุณหมอด้าน
         ธรรมชาติเตือนเอาไว้เรื่องอาหารสำหรับคนเป็นสิวค่ะ


คนเป็นสิวมักจะมีแนวโน้มแพ้สิ่งต่อไปนี้...

1.     นมวัวและผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจากนมวัว - นมวัวหนูคงทราบดีอยู่แล้วค่ะว่าคืออะไร แต่ผลิตภัณฑ์จากนมวัวและมีนมวัวเป็นส่วนผสม ยกตัวอย่างเช่น เนยแข็ง เนย ชีส ไอศครีมบางประเภท ขนมกรุบกรอบ ช็อคโกแลต (ลองพลิกส่วนผสมดูนะคะ ต่อไปนี้ทานอะไรก็ให้ดูฉลากค่ะ) เบเกอรี่นมสด อะไร ๆ ที่เป็นนมสดค่ะ ส่วนใหญ่ก็ใช่ทั้งนั้น แม้จะเขียนว่านมเพื่อสุขภาพ แต่เพื่อสุขภาพใคร...เอ่ย...สุขภาพเราหรือเปล่า พี่มองว่าเป็นแค่คำทางการตลาดค่ะ เพราะลำพังแค่ใส่น้ำแข็งก็ทำลายสุขภาพแล้ว ไม่ต้องนับนม


2.     เบเกอรี่ ข้าวขาว ข้าวเหนียว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นมะกะโรนี - พี่จัดให้เป็นของประเภทเดียวกันเพราะเรามักจะทานสิ่งเหล่านี้ในมื้อหลักช่วงกลางวันหรือไปนอกบ้าน เวลาที่เราต้องกินอาหารนอกบ้าน พวกนี้จะหาง่ายมากค่ะ แต่ข่าวร้ายคือ คนเป็นสิวมักจะแพ้สิ่งเหล่านี้ค่ะ พวกนี้มีอะไรเหมือน ๆ กันคือ กลูเทนค่ะ ซึ่งคนเป็นสิวจะแพ้ตัวที่ชื่อ กลูเทนซึ่งเป็นสารที่อยู่ในสิ่งเหล่านี้นั่นเองค่ะ ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Gluten หรือ กลูเทน ได้ใน Google นะคะ (คือไม่ใช่อะไรค่ะ ตัวพี่เองสังเกตว่ากิน 4 ตัวนี้ทีไร มีสิวอุดตันหรือหัวขาวขึ้นทุกทีค่ะ อาจไม่ขึ้นวันนั้นค่ะ แต่ขึ้นแน่ ๆ เพราะร่างกายไม่เอาค่ะ ขับออก พอขับออกแล้วก็จะหายค่ะ ลำดับนะคะ ถ้าเป็นเบเกอรี่ จะเกิดอาการไม่สบายตัวอย่างเร็วค่ะ เกิดภาวะร้อนเกินทันทีเลยล่ะ ต้องแก้ด้วยน้ำมะนาวอุ่น ๆ หรือดื่มน้ำย่านางสกัดแก้พิษร้อนทันทีค่ะ จึงจะรู้สึกดีขึ้น ส่วนที่กินแล้วมีอาการตอบสนองรองมาคือ เส้นมะกะโรนี รองมาก็คือก๋วยเตี๋ยว ข้าวเหนียวและข้าวขาวค่ะ ถ้าช่วงไหนกินพวกนี้้ สิวอุดตันมีแน่ค่ะ สำหรับพี่นะคะ ก็ทำใจไว้รอค่ะ แต่สำหรับพี่มันมาแล้วมันก็ไปค่ะ ไม่ขึ้นมาอักเสบถ้าเราไม่ใส่ปัจจัยแห่งการอักเสบเพิ่มค่ะ เช่น นอนดึก เครียด กินอาหารฤทธิ์ร้อนซ้ำเติมเข้าไปอีก เป็นต้นค่ะ)


3.     เนื้อสัตว์ ไข่ - อันนี้ได้ข้อมูลจากนกค่ะว่าถ้าใครแพ้นมวัวแล้ว ก็มีโอกาสจะแพ้โปรตีนอย่างอื่นด้วย ก็ให้สังเกตค่ะว่ากินเนื้ออะไรแล้วไม่สบายตัว สำหรับพี่แล้ว พี่ทานเนื้อปลาได้สบายค่ะ เนื้อไก่พอไหว (ก็พึ่งมากินตอนท้องนี่ล่ะค่ะ) แต่ที่ไม่ไหวเลย ร้อนในมาก ๆ คือ เนื้อหมูขึ้นไปค่ะ ส่วนไข่พี่ทานได้ค่ะ ตรงนี้ต้องสังเกตกันเอาเองค่ะว่าเราแพ้เนื้ออะไร แพ้ไข่รึเปล่าค่ะ อาการที่พี่ให้สังเกตว่าแพ้คือ กินแล้วมักจะรู้สึกร้อนใน กระหายน้ำ อึดอัด หายใจไม่ค่อยออกหลังมื้อนั้น ๆ ค่ะ คือ เวลาเทสต์อาหารพยายามเทสต์ทีละอย่างค่ะ อย่าไปกินหลายอย่างรวมกัน จะได้ทราบว่าแพ้อะไร มันดูลำบากในการกินแค่ตอนแรก ๆ ของการดูแลตัวเองค่ะ แต่ผลจากการที่เราทราบว่าเราแพ้อะไร แล้วจะได้เลี่ยงไป มันจะคุ้มค่ามาก ๆ เลยค่ะ


4.     อาหารผัด ๆ ทอด ๆ ด้วยน้ำมัน - อันนี้พี่ก็มีปฏิกิริยาค่ะ แต่จะออกแนวท้องอืดและมีอาการเรอเพราะอาหารไม่ย่อยมากกว่าค่ะ ใครเป็นสิวมักย่อยไขมันไม่ดีค่ะ ยังไงเลี่ยงไปใช้เทคนิคผัดด้วยน้ำจะดีกว่าค่ะ ส่วนน้ำมันถ้ากลัวจะขาดก็ลองเทสต์ดูว่าเราทานน้ำมันสกัดเย็น (cold pressed) ที่สกัดจากอะไร เช่น จากมะพร้าว จากรำ จากงา แล้วเรารู้สึกไม่มีปัญหา รู้สึกสุขภาพดีขึ้น ก็ทานอันนั้นค่ะ เลือกมาสัก 2-3 ประเภท อันนี้หมดก็เปลี่ยนค่ะ จะได้รับกรดไขมันหลากหลายค่ะ วันนึงก็อย่าไปทานเยอะค่ะ สักไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะก็พอ ถ้ามีสิวอุดตันขึ้น มีอาการปวดหัวไมเกรน เรอ ก็ให้ลองลดปริมาณลงหรือพักการทานน้ำมันไปก่อนค่ะ แม้จะเป็นสกัดเย็นก็ตาม หรือลองเปลี่ยนประเภทน้ำมันดูค่ะ สำหรับพี่ถ้าทานน้ำมันสกัดเย็นไม่มีปัญหาค่ะ ไม่เหมือนอาหารผัด ๆ ทอด ๆ ค่ะ ส่วนใหญ่พี่จะทานน้ำมันมะพร้าวค่ะ น้ำมันงาบ้างค่ะ น้ำมันมะกอกทานแค่ตอนที่ล้างพิษตับค่ะ   หลัก ๆ แล้วอาหาร 2 กลุ่มนี้ล่ะค่ะ ที่ควรต้องงดไปเลย ไม่มีข้อแม้ 


น้องหวาน : ดูมันเยอะจังค่ะพี่บีม หนูรู้สึกว่าหนูคงงดหมดนี้ไม่ได้แน่ ๆ เพราะแถวหอพักหนูเลือกอะไรไม่ค่อยได้เลยค่ะ


บีม : พี่เข้าใจค่ะน้องหวาน ว่าเราหาทานอะไรเพื่อสุขภาพยาก เพราะอาหารที่วางขายทั่วไปนั้นไม่ได้ทำมาเพื่อสุขภาพแต่เพื่อให้คนบริโภคทั่วไปค่ะ แต่อย่างน้อย ขอให้หนูได้ตระหนักและรู้หลักการเลือกอาหารมากขึ้นค่ะ และลองหาวิธีดูว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร ทำอาหารกินเองด้วยกระทะไฟฟ้าเหมือนพี่นกได้ไหม บางคนเขาก็เลือกวิธีว่า ซื้อวัตถุดิบไปให้แม่ค้าเขาทำให้ เขาก็เลือกเจ้าที่ไว้ใจค่ะ คือ ยังไงก็มั่นใจว่าได้กินของดีเพราะเราหามาให้เองเป็นต้นค่ะ 

       ถ้าเราบล็อคตัวเองตั้งแต่ต้นว่า "ทำไม่ได้แน่" เราจะไม่พยายามหาทางก่อนค่ะ เราจะปิดความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของตัวเองไปเสียก่อน
พี่แนะนำว่า เราลองเปิดใจค้นหาวิธีโดยถามตัวเองว่า "เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้เราได้ทานอาหารที่ดีขึ้น" แล้วจะพบว่ามันมีทางแก้ปัญหาอยู่ค่ะ เหมือนที่เขาพูดว่า If there is a will, there will be the way. ค่ะ พี่เองก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ

       ทุกวันนี้พี่ก็ใช่ว่าจะเลือกอาหารได้ 100% นะคะ ไปนอกบ้าน บางทีก็ต้องไปร้านสะดวกซื้อค่ะ แต่พี่จะใช้หลักเกณฑ์ที่สอนหนูนี้แหละในการเลือกของค่ะ เอาของมีพิษเข้าตัวน้อยสุด เมื่อก่อนพี่ชอบทานข้าวกล่องสำเร็จรูปที่ใส่ไมโครเวฟมากค่ะ พอมารู้ข้อมูลจากนก พี่ก็เลิกเลยค่ะ ไม่ได้แอ้มเงินพี่เลยข้าวกล่องพวกนี้ พี่ไปทานแซนด์วิชแช่เย็นแทนค่ะ แม้มันจะเย็นหน่อยและโซเดียมสูงมาก (400 ได้ พี่เห็นวันนั้นค่ะ) แต่มันก็ดีกว่าการกินขนมปังที่ใส่สารกันเสีย สารปรุงแต่ง เนยเทียมและอะไรต่อมิอะไรมากกว่าค่ะ และก็ดื่มนมให้อิ่มค่ะ พี่ก็เลือกแลคตาซอยเป็นต้น

       หรืออยู่บ้าน พี่เองก็งานยุ่งค่ะ ไม่มีเวลาฝึกทำอาหารกินเองเลย ทุกวันนี้ส่วนใหญ่พี่แม็คกับแม่จะเป็นคนทำค่ะ อาหารผัดทอดก็หลายมื้ออยู่ค่ะ แต่พี่ดูแลตัวเองมา 3 ปีแล้วค่ะ ดังนั้น ผลกระทบของสิ่งเหล่านี้ต่อร่างกายจะน้อยลงไปมาก ๆ ค่ะ หรือแม้ว่าพี่กินสปาเกตตี้ที่พี่แม็คทำ (ซึ่งมันเป็นเมนูโปรดของพี่เมื่อก่อน และพี่แม็คเขาก็ทำอร่อยค่ะ ไม่กินเดี๋ยวเขาเสียใจ) พี่ก็กินแบบ enjoy ค่ะ เพราะคนทำเขามีความสุขทำให้ แต่พี่ก็ต้องยอมรับผลว่าอีก 2 วันสิวอุดตันขึ้นค่ะ และหลังจากมื้อนั้นพี่ก็จะไม่แตะอะไรที่เป็นของไม่ดีต่อร่างกายหรือของที่พี่แพ้เพิ่มเติมค่ะ ก็จะไปทานเฉพาะผักผลไม้หรืออะไรที่เรากินแล้วไม่มีปัญหา ถ้าผลไม้ก็เอาแบบเส้นใยสูง ๆ ค่ะ มันจะได้ช่วยล้างไขมัน และตอนนี้พี่ก็ทาน probiotics แบบน้ำสกัดด้วยค่ะ มันก็ช่วยพี่ย่อยของเสียตกค้างได้ระดับหนึ่งและกระตุ้นภูมิคุ้มกันค่ะ คือ พี่ก็จะมีทริคของพี่ดูแลตัวเองระหว่างนี้ไปค่ะ สิวขึ้นก็ใช้ตัวรักษาสิวของ MarryBeam นี่แหละ ใส่เข้าไปค่ะ ก็รักษาไปตามอาการ เดี๋ยวมันก็หายค่ะ 

       คือ อยากให้กำลังใจว่า พี่เองก็ไม่ได้เป๊ะ 100% ค่ะ แต่พี่ให้หลักการที่รวบรวมมาจากประสบการณ์และความรู้ที่ผ่านมาสำหรับมือใหม่ได้ดังที่เขียนไปแล้วค่ะ ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่เรายังงม ๆ ยังทดลองหาอยู่ว่าชั้นกินอะไรได้ไม่ได้บ้าง และช่วงร่างกายปรับตัว ช่วงนั้นมันเยอะและหนักที่สุดค่ะ แต่ถ้าเราหมั่นจดบันทึก หมั่นสังเกตตัวเอง ว่าอะไรที่ดีหรือไม่ดีต่อร่างกายของเรา รับแล้ว ทานแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร จด จด จด สักพักเราก็จะมีแนวทางดูแลสุขภาพเป็นของตัวเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องงงกับข้อมูลสุขภาพอันมากมาย และหลายอย่างก็เถียงกันไม่จบเสียทีค่ะ รู้จักสังเกตและดูแลตัวเองอย่างมีหลักเกณฑ์นี่แหละที่ดีที่สุดค่ะ เรารู้จักตัวเองมากที่สุดค่ะ

น้องหวาน : โอเคค่ะพี่บีม หนูจะลองพยายามดูนะคะ สรุปว่า หนูต้องพยายามจำให้ได้ว่าอาหารอะไรควรงดหรือหลีกเลี่ยงไปนะคะ หมั่นสังเกตร่างกายตัวเองว่าแพ้อะไร ไม่ถูกกับอะไร ก็ให้จดและงดไป ถูกต้องนะคะ

บีม : ใช่ค่ะน้องหวาน อีกข้อที่ควรจำคือ หนูควรทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ฝืนใจ คือ เข้าใจว่าทำไปทำไม ทำแล้วมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ควบคุมหรือบังคับตัวเองนะคะ แต่พิจารณาให้เห็นประโยชน์ก่อนค่ะแล้วจึงทำ แล้วมันจะกลายเป็นนิสัยของหนูไปเลยค่ะ ที่จะเลือกแต่ของที่มีประโยชน์โดยอัตโนมัติและเวลาที่คนรอบข้างเขาหัวเราะเรา เราจะไม่หวั่นไหวง่ายค่ะ เพราะเรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ถ้าเราทำแบบไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร รู้แต่ว่าอยากสิวหายและฉันห้ามกินอันนี้อันนั้นเพราะพี่เขาบอกมาแบบนั้น คือ ไม่พิจารณาให้เห็นโทษหรือประโยชน์ด้วยตัวเองก่อน เวลาที่โดนคนอื่นถาม หัวเราะ เราจะโกรธทันทีเลยค่ะ และท้อขึ้นมาทันควัน จิตตกเร็วมากมายค่ะ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาสิวเลยค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเลิกไปในที่สุดค่ะ แล้วกลับเข้าวงจรเดิม

      อ้อ อีกอย่างค่ะ คนที่รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติแบบนี้คือปล่อยให้ร่างกายดูแลตัวเองโดยที่เรางดรับสิ่งเป็นพิษ ล้างพิษ และรับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าไปช่วง 3 เดือนที่ร่างกายเริ่มสะอาดและภูมิคุ้มกันกลับมาดีขึ้นแล้ว เราจะเร็วต่ออาหารที่เป็นโทษและเราแพ้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ๆ นะคะ คือ จะรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ เรากำลังแข็งแรงขึ้นค่ะ ให้ปฏิบัติต่อไปค่ะ เพราะหลังจากที่สิวเราหายดีแล้ว หรือดีขึ้นมากแล้ว เราก็จะเริ่มทานอาหารทั่ว ๆ ไปสัก 1 วันค่ะ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันและระบบกำจัดของเสียทำงานเป็นระยะ ๆ ค่ะ พอเขาทำงานเก่งขึ้นแล้ว เราก็จะมีความทนทานต่ออาหารทั่ว ๆ ไปมากขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้กลับไปมีชีวิตแบบตอนที่เป็นสิวค่ะ แต่เราใช้วิธีนี้เพื่อฝึกให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ทำงานและแข็งแรงค่ะ ไม่ใช่กินอะไรแล้วก็แพ้เหมือนเดิมและสิวก็ยังขึ้นง่ายค่ะ แต่ต้องรอให้สิวหายดีก่อนค่ะ จึงจะเริ่มทำได้ และถ้าเรากลับไปปล่อยตัวเหมือนเดิม สิวก็กลับมาอีกค่ะ เพราะเราใส่เหตุเดิมของการเป็นสิวเข้าไปค่ะ ก็เป็นเรื่องของเหตุและผลตามธรรมชาติค่ะ และคนเป็นสิวยังไงก็มีแนวโน้มขับพิษเป็นสิวหรือผิวหนังค่ะ คนไม่เป็นสิวก็จะไม่เป็นสิว แต่ก็ไม่เสมอไปค่ะ เพราะพี่ได้ฟังจากหลายท่าน ได้เห็นหลายคนว่า แต่ก่อนไม่เป็นสิวเลย แล้วมาเป็นในวัยผู้ใหญ่เพราะไม่ดูแลสุขภาพให้ดีมาเป็นเวลานานค่ะ เคสนี้จะเห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ 

       และอีกอย่าง ถ้ายิ่งช่วงล้างพิษและหลังล้างพิษ ห้ามทานเลยค่ะของที่เป็นโทษและกระตุ้นการแพ้ค่ะ ให้ทานเฉพาะของมีประโยชน์เท่านั้นค่ะ เพราะช่วงนั้นร่างกายจะสะอาดมากและไวมากต่อสิ่งเป็นพิษและสิ่งทำให้แพ้ค่ะ


น้องหวาน : ขอบคุณค่ะพี่บีม แล้วอาหารในข้อสุดท้ายล่ะคะ คงเป็นที่พี่บีมแนะนำให้ทานใช่ไหมคะ



บีม: ใช่ค่ะน้องหวาน ก็ตามที่พี่เขียนค่ะ เลือกทานอาหารที่สด สะอาด ไม่แปรรูป มีรสและรูปจากธรรมชาติให้มากที่สุด หากจะปรุง ก็ปรุงด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้น ๆ และให้อาหารนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วยังคงมีสารอาหารหรือคุณสมบัติทางยาอยู่ค่ะ

       คือ พอเราตัดสิ่งเป็นโทษกับสิ่งที่แพ้ออกไปแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นที่เราทานได้ค่ะ ซึ่งถ้าสิ่งนั้นทานสด ๆ ได้และร่างกายย่อยได้ เช่น ผลไม้ เราก็ทานค่ะ แต่ให้เลี่ยงผลไม้หวาน ๆ ค่ะ มีน้ำตาลสูงและทำให้เกิดภาวะร้อนเกินง่ายค่ะ ภาวะร้อนเกินเป็นอีกสาเหตุของสิวเช่นกันค่ะ 

       ของบางอย่างต้องปรุงก่อนจึงจะทานได้ เช่น ผักบางชนิด เช่น บร็อคโคลี่ ที่ทานสด ๆ ไม่ได้เพราะมันแข็ง คือ ผักอะไรที่แข็งเกินไป เราควรต้องเอามาลวกให้นิ่มก่อนค่ะ ใช้ไฟปานกลางลวกไม่เกิน 5-10 นาที แล้วค่อยทานค่ะ อย่าไปใช้ไฟแรงและต้มนาน ๆ ยกเว้นแต่ว่าเราจะมีข้อมูลมาว่าต้องใช้วิธีนั้นในการสกัดสารสำคัญของผักนั้นออกมาให้อยู่ในซุปแล้วค่อยทานค่ะ 

       ถ้าอะไรที่เราทานได้ และวิธีการประกอบอาหารนั้นถูกต้องเหมาะสม เราจะรู้สึกสบายตัวหลัทานค่ะ มีพลังเพิ่มขึ้น ไม่ท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่ปวดปิด ไม่ปวดท้องค่ะ สังเกตง่าย ๆ เท่านี้ค่ะ ถ้ามีอาการตรงข้ามก็ควรลองปรับวิธีการทำอาหารดูใหม่คะ 

      เรื่องของเทคนิคการประกอบอาหารพี่คงไม่เก่งค่ะ เพราะพี่ไม่ใช่คนทำอาหาร แต่พี่จะสังเกตอาการตัวเองแล้วบอกคนที่ประกอบอาหารให้ค่ะว่า พี่ไม่เติมอันนี้ ไม่เอาแบบนี้ กินแบบนี้ได้ ซึ่งเขาก็จะปรับให้ค่ะ พี่แค่สังเกตอาการตัวเองหลังทานเท่านั้นค่ะ


น้องหวาน : แล้วเรื่องอาหารฤทธิ์เย็นและร้อนล่ะคะ เห็นพี่บีมเขียนไว้ว่ามันก็สำคัญ


บีม : ใช่ค่ะ เราควรต้องทราบว่าอาหารไหนเป็นร้อนหรือเย็นค่ะ แผนจีนจะมีฤทธิ์กลาง ๆ ด้วยค่ะ แต่พี่อิงแนวหมอเขียวค่ะ เพราะท่านเก็บเกี่ยวความรู้มาจากศาสตร์หลายแขนงและเอามาประกอบกับประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยของท่านเองซึ่งเป็นคนไทยค่ะ พวกเราเป็นคนไทย พี่จึงคิดว่า สิ่งที่ท่านสรุปออกมาน่าจะใช้ได้ดีกว่าทฤษฎีอื่น ๆ ค่ะ และทุกวันนี้พี่ก็อิงหลักของท่านในการปรับสมดุลร้อนเย็นของร่างกายอยู่เสมอค่ะ สำหรับตารางอาหารร้อนเย็น หนูค้นใน google ได้เลยค่ะ ใส่คำว่า หมอเขียว ไปด้วยก็ได้ค่ะ ในหนังสือท่านก็มีค่ะ ซื้อมาไว้อ่านได้เลย คือ ที่พี่แนะนำให้คนเป็นสิวทานอาหารฤทธิ์เย็นในช่วงแรก ๆ ของการรักษาตัวเองก็เพราะ สิวของคนสมัยนี้เกิดจากภาวะร้อนเกินค่ะ ซึ่งอาการที่คนเป็นสิวจะมีคล้าย ๆ กันคือ

·         มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง
·         ประจำเดือนไม่ค่อยปกติ
·         ท้องผูก
·         ตาไม่สดใส สีเหลืองบ้าง แดงบ้าง
·         นอนไม่ค่อยหลับ
·         ปากดำ คล้ำ แห้งแตก ไม่สดใส เหมือนคนสูบบุหรี่
·         ผิวเหี่ยวแต่มัน

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะร้อนเกินทั้งนั้นเลยค่ะ และการปรับสมดุลในช่วงแรก ต้องทำให้ Heater ที่ร้อนจัดค่อย ๆ เย็นลง ซึ่งการปรับที่สำคัญคือ การใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นและอาหารที่มีฤทธิ์เย็นช่วยให้มากที่สุดค่ะ 

ซึ่งการจะปรับนี้มันก็มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้องอีกนะคะ และในระยะยาวก็ไม่ใช่ให้ทานของฤทธิ์เย็นไปตลอด มันต้องทานทั้งร้อนทั้งเย็นค่ะ เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายสมดุลคงที่อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส เพราะที่อุณหภูมินี้ร่างกายจะทำงานได้ดีที่สุดค่ะ
ยกตัวอย่างนะคะ 

·         ในหน้าหนาว พี่จะเป็นคนหนาวง่ายมาก เพราะเลือดน้อยค่ะ (พึ่งทราบตอนไปตรวจเลือดตอนตั้งครรภ์ว่าพี่มีพาหะธาลัสซีเมีย แต่แค่พาหะค่ะ ไม่เป็นอันตรายอะไรค่ะ และไม่อันตรายกับลูก ดังนั้นพี่จะเลือดน้อยกว่าคนปกติ และมันเป็นโดยยีนส์ค่ะ ไปแก้อะไรไม่ได้ พอเลือดน้อยก็จะทำให้หนาวง่ายด้วยค่ะ การหมุนเวียนของเลือดจะตกถ้าดูแลตัวเองไม่ดีค่ะ คงเป็นอีกสาเหตุของสิวของพี่ด้วยค่ะ) พี่ก็จะทานอาหารมีฤทธิ์ร้อน เช่น โจ๊กใส่ขิง ทานขมิ้นชัน ดื่มอะไรอุ่น ให้เลือดลมมันไหลเวียนดีค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนที่รู้สึกว่ามีภาวะร้อนเกินจากอาหารที่ทานเข้าไป เช่น จากอาหารที่แพ้ พี่ก็จะถอนด้วยน้ำย่านางที่เอามาใส่น้ำอุ่นค่ะ เพื่อไม่ให้เย็นเกินไปสำหรับหน้าหนาวค่ะ


·         ในหน้าร้อน ถ้าช่วงกลางคืนมันเย็น พี่ก็จะไม่ทานน้ำย่านางหรืออะไรเย็น ๆ ตอนกลางคืนค่ะ ถ้าหนาว ๆ ก็จะชงอะไรอุ่น ๆ ดื่ม อาบน้ำอุ่น ๆ ค่ะ แต่ถ้ากลางวันพี่ก็ต้องหมั่นทานผักผลไม้ฤทธิ์เย็น อาหารที่ไม่มีฤทธิ์ร้อนเกินไป  ดื่มน้ำเยอะ ๆ ค่ะ เพื่อช่วยไล่ความร้อนออกไป

คือ เราจะทานอาหารฤทธิ์เย็นเป็นสัดส่วนสูงก็เพียงตอนแรกของการรักษาค่ะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้สึกว่า เราเริ่มหนาวเร็วกว่าปกติ หน้าซีด ไม่ค่อยมีเลือด หรือมีอาการของภาวะเย็นเกิน ก็ให้ปรับมาทานอาหารฤทธิ์เย็นผ่านไฟค่ะ เช่น เอาแตงกวามาลวกหรือต้มแทนการกินสด หรือจะทานสมุนไพรหรืออาหารฤทธิ์ร้อนช่วยปรับให้ความเย็นเกินสูงขึ้นมาค่ะและพักการทานพวกฤทธิ์เย็นไปก่อนค่ะ

และนอกจากตัวอาหารและอาการของเราเองแล้ว เราต้องดูฤดูกาลด้วยค่ะ หน้าหนาวและหน้าฝนชื้นก็ต้องทานอะไรอุ่น ๆ ร้อน ๆ เยอะ ๆ หน่อย แต่ถ้าร้อน ๆ แห้ง ๆ ก็ต้องพวกฤทธิ์เย็นมาก ๆ หน่อยค่ะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อช่วยไล่ความร้อนและลดความหนืดข้นของของเหลวในร่างกายค่ะ


น้องหวาน : แล้วถ้าเรื่องผลไม้ล่ะคะ อยากถามว่าผลไม้ฤทธิ์เย็น และผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิวมีอะไรบ้างคะ แล้วที่ไม่ควรทานเลยมีอะไรบ้างคะ


บีม :เอาที่พี่กินเลยมั้ยคะ แต่ต้องบอกก่อนนะจ๊ะว่าแต่ละคนธาตุไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิด ตัวที่พี่ทานหนูอาจท้องอืดได้ค่ะ ยังไงก็ลองดูก่อนนะ พี่จะทานผลไม้ตามฤดูกาลค่ะ และทานผลไม้ท้องถิ่นถ้าหามาได้
ผลไม้ที่ทานส่วนใหญ่ก็จะเป็นแอปเปิ้ล สับปะรด ชมพู่ มะพร้าว น้ำมะพร้าว (ชอบมาก) แต่ระวังที่เขาผ่ามาแล้วนะคะ เคยกินแล้วได้กลิ่นเหม็นกันบูด เพราะส่งมาจากภาคกลางเลย แนะนำให้ทานที่เป็นลูก ๆ และผ่าให้เราสด ๆ ดีกว่าค่ะ คือ ยังเป็นเปลือกแข็งเขียวอยู่ ผลไม้ฤดูนี้ก็แก้วมังกร กระท้อนค่ะ (ตอบเดือนสิงหาคม หน้าฝนค่ะ) ส่วนลำไยและทุเรียน ร้อนมาก เงาะด้วยค่ะ แม้จะตามฤดูกาล พี่กินเยอะจนร้อนในมาเลยค่ะ กินพออร่อย

ถ้ามันร้อนมาก พี่หาผลไม้ไม่ทันก็ผสมน้ำย่านางสกัด 1 ช้อนกับน้ำ 1 แก้วค่ะ และดื่มน้ำบ่อย ๆ ไล่ความร้อนเกินค่ะ จริงๆ เรากินได้หมดนะคะ แต่ว่าให้ดูปริมาณค่ะ เจ้าที่ถูกกับเราก็กินได้เยอะหน่อยค่ะ เจ้าที่หวาน ๆ มัน ๆ ร้อน ๆ กินแล้วไม่สบายตัวก็กินน้อย ๆ หรือเลี่ยงกินตอนอากาศร้อน ๆ หรือร่างกายร้อนน่ะค่ะ


น้องหวาน : ขอบคุณค่ งั้นหนูสรุปนิดนึงนะคะ สรุปว่า ให้หนูงดหรือเลี่ยงอาหารที่เป็นโทษ อาหารที่ทำให้แพ้ ซึ่งหนูต้องสังเกตเองบ่อย ๆ และทานอาหารที่สด สะอาด ไม่ผ่านการปรุงแต่งให้มากที่สุด และในช่วงแรก ๆ ก็ให้ทานของที่มีฤทธิ์เย็นไว้ก่อน แต่เราไม่ทานตลอดไป ถ้าสภาพร่างกายปรับสมดุลดีแล้ว เราก็ทานอาหารให้หลากหลายขึ้น ทั้งที่มีฤทธิ์ร้อนและเย็น ซึ่งก็ให้ดูตามสภาพร่างกาย สภาพอากาศ อุณหภูมิในอากาศ และฤดูกาล ถูกต้องนะคะ


บีม : ใช่ค่า แบบนั้นล่ะค่ะ เดี๋ยวสักพักหนูก็จะจับทางดูแลตัวเองถูกเองค่ะ ก็จะเป็นแนวทางของตัวหนูเองค่ะ



น้องหวาน : ขอบคุณค่า พี่บีม อ้อ เกือบลืมน่ะค่ะ แล้ววิตามินต่าง ๆ หรืออาหารเสริมหนูทานต่อได้หรืองดทานไปก่อนไหมคะ


บีม : จากข้อมูลล่าสุดที่พี่ได้รับจากคุณฉิน หนึ่งในเครือข่าย MBH Network คือ วิตามินและอาหารเสริมต่าง ๆ มีฤทธิ์เป็นกรดค่ะ (pH) ซึ่งร่างกายคนเป็นสิวจะมีความเป็นกรดสูงอยู่แล้วค่ะ แต่คุณหมอที่คุณฉินไปหานั้นใช้วิตามินในการรักษาเหมือนกันจ่ะ แต่เขาไม่ให้ทานนานเกิน 6 เดือนนะคะ ซึ่งการที่จะทำให้กรดเปลี่ยนเป็นกลางนั้นต้องอาศัยด่างหรือเบสจากผักผลไม้เยอะ ๆ ค่ะ แล้วร่างกายจะปรับสมดุลได้เองค่ะ ฝรั่งที่รักษาสิวเองเขาจะมีพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เขาจะมีลิสต์อาหารเลยว่า อาหารไหนมีค่า pH เท่าไหร่ค่ะ ลองหาใน Google ด้วยคำว่า pH Food Chart ค่ะ เอกสารของไทยพี่ยังหาไม่เจอค่ะ เคยพยายามหาเหมือนกันค่ะ ด้านล่างนี่เป็นตัวอย่างนะคะ ...ดังนั้นพี่มองว่า เมื่อเริ่มรักษาสิว ควรหยุดวิตามินและอาหารเสริมไปก่อนค่ะ แล้วหันมาปรับค่าความเป็นกรดในเลือดให้เป็นกลางด้วยผักผลไม้ที่ล้างสะอาดหรือปลอดสารค่ะ และทำการล้างพิษอะไรให้เรียบร้อยก่อนค่ะ เพราะจากที่ได้ความรู้ที่ไปคอร์สล้างพิษกับพี่ญาตา พี่เขาเองก็บอกว่า ถ้าร่างกายไม่สะอาด เลือดสกปรก ต่อให้วิตามินหรืออาหารเสริมดีแค่ไหน เข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ สักพักก็จะละลายกลายเป็นของเสียไปด้วยเสียหมดค่ะ ค่อยเอามาใช้ตอนที่ร่างกายมีสุขภาพดีแล้วดีกว่านะคะ ไว้เสริมค่ะ...น่าจะดีที่สุดค่ะ ตรงนี้อาจจะขัดกับที่พี่เขียนในหนังสือ สิวซีเคร็ต นะคะ แต่นี่คือความรู้อัพเดทใหม่ค่ะ เอาตามนี้ก็แล้วกันจ่ะ ยังไงๆ พี่ก็จะปรับปรุงเนื้อหาหนังสือให้อัพเดทอยู่แล้วค่ะ



น้องหวาน : กระจ่างแล้วค่าพี่บีม ขอบคุณมากค่ะ ^^



บีม : โอเคค่า ขอให้น้องหวานประสบความสำเร็จในการดูแลตัวเองและมีสุขภาพดีที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ 




รวบรวมลิงค์ที่แนะนำ
·         ไขมันแปรรูป http://www.depthai.go.th/dep/doc/52/52002887.pdf
·         โรคลำไส้รั่วซึม http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/2/
·         ภัยน้ำมันทอดซ้ำ https://docs.google.com/open?id=0B7eIXMJehgzJamhQS2tveGNKMU0
·         ภาวะแพ้อาหารแฝง  http://www.dpu.ac.th/antiaging/article/3/
·         อาหารฤทธิ์ร้อน - เย็น (แนวหมอเขียว) http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pat-naja&month=20-10-2009&group=11&gblog=5

0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ