Saturday, June 23, 2012

ตอบข้อสงสัย : ปรับราคาลงได้ไหม ทำไมราคาโหดจัง แค่ขายออนไลน์เอง


บีมอธิบายทีละข้อนะคะ

1. การที่คุณเก๋เข้าใจว่าเราขายเฉพาะออนไลน์และบอกปากต่อปากนั้น อาจไม่ถูกต้อง 100% ค่ะ เพราะเรามีออฟฟิต 3 ห้อง มีค่าเช่าทั้งหมด 3 ห้อง ห้องหนึ่งคือ MarryBeam ห้องหนึ่งคือ PRETTYS อีกห้องเรากำลังจะเปิดในอนาคตทำ Line อื่นค่ะ ขณะนี้เรามีพนักงานทั้งหมด 8 คนที่เราต้องจ่ายเงินเดือนทุกเดือน เรามีค่าการตลาดออนไลน์ที่ต้องจ่ายทุกเดือนซึ่งมากกว่าการไปเช่าพื้นที่ในห้างเสียอีกค่ะ นอกจากนี้ เมื่อสั่งเกิน 2,000 บาท เราก็รับผิดชอบในส่วนของค่าส่งและค่าพัสดุทั้งหมด และยังไม่รวมค่าจัดทำโบรชัวร์ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ค่าออกแบบแพงใช้ได้ค่ะ เพราะเราก็อยากทำออกมาให้ดี เราก็เลือกคนที่มีฝีมือทำให้ ดังนั้น cost ในส่วนของการบริหารจัดการก็ถือว่ามากพอสมควรเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดปานกลางอย่างเราค่ะ

2. ในการใช้มาส์กหรือผลิตภัณฑ์ของเรา เรามี step และขั้นตอนชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าได้อ่านคู่มือผู้ใช้ที่เราทำมาใหม่ จะเห็นชัดเลยว่าเรามี 1 2 3 4 ชัดเจน และบีมบอกวิธีลด cost ให้ด้วยนะคะ และถ้าคนที่เข้ามาปรึกษาบีมก่อน บีมถามก่อนตลอดว่ามีงบเท่าไหร่ อยากรักษาแบบไหน บีมก็ต้องรู้ว่าแต่ละคนเขาต้องการแบบไหนยังไง และก็ตอบโจทย์เขาไปให้เหมาะสมค่ะ บีมไม่เคยจัดอะไรที่เกินเลยไปจากงบหรือกำลังของเขา ถ้าเขาไม่เอา บีมไม่เคยยัดเยียด และถ้าทำตาม step แล้ว ส่วนใหญ่จะประหยัดจริง ๆ และลูกค้าบางคนพอเขาผิวแข็งแรงแล้ว เขาก็อาจไปใช้ยี่ห้ออะไรตามใจเขานะคะ คือ ในการซ่อมแซมผิวทั้งภายในและภายนอก cost มันต้องสูงในตอนแรกอยู่แล้วเป็นธรรมดาค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนปรับพฤติกรรมใหม่ อาหารใหม่ ๆ แต่ถ้าใครปรับร่างกายได้ดีแล้ว ภายในแข็งแรง ไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังอะไร เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของบีมเลยก็ได้ค่ะ ซึ่งบีมก็เห็นหลายคนเหมือนกัน

บีมไม่ได้หวังเลี้ยงเอาเงินจากคนในระยะยาวค่ะ บีมอยากให้เขาเต็มที่ให้ดีที่สุดในช่วงแรก พอผิวดีแล้ว เราก็ดีใจด้วย ซึ่งเราก็ใจกว้างพอที่จะให้เขาไปใช้แบรนด์อื่นตามที่เขาต้องการค่ะ ไม่ได้เลี้ยงเอาไว้แม้แต่น้อยเลย

3.ขณะนี้บีมพึ่งทำธุรกิจมาได้เข้าปีที่ 3 ค่ะ ในทางด้านธุรกิจ การมาได้ขนาดนี้ถือว่าค่อนข้างเร็ว แต่เรายังอยู่ในฐานะธุรกิจระดับกลางค่ะ ยังไม่ใหญ่เท่าแบรนด์ที่คุณเก๋อาจจะเอ่ยถึง เพราะแบรนด์ใหญ่ ๆ เงินทุนย่อมสูงกว่าและสามารถสั่งผลิตได้ในปริมาณที่มากกว่า ต้นทุนย่อมต่ำกว่าอย่างแน่นอน และบีมยังคงเน้น Nitch Market ค่ะ ถ้าคุณเก๋มาเป็นพนักงานหรือคนทำงานร่วมกันกับบีม ก็จะทราบว่า บีมยังคง Nitch Market คือ กลุ่มเป็นสิวเรื้อรังอยู่ค่ะ ส่วนที่ไม่ใช่เรามี แต่น้อยค่ะ เราเองต้องดูแลกลุ่มสิวเรื้อรังเป็้นงานหลักและงานหนักอยู่แล้ว เราจึงยังไม่คิดผลิตสูตรใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มทั่วไปเพิ่มเติมค่ะ เรามีแค่ PRETTYS ที่ยังพึ่งเริ่มต้นแค่นั้นเอง ก็เพียงแค่เอามาเสริมในตอนนี้ค่ะ เพราะมันช่วยให้รอยสิวจางลงเยอะจริง และเราก็เน้นตลาดที่เชียงรายค่ะ ดังนั้น มันก็จะเป็นการบริหารในอีกรูปแบบหนึ่งที่แยกออกไป เอามาปนกันหรือเทียบกับ MarryBeam ไม่ได้ค่ะ

อย่าง Aritstry สั่งผลิตครั้งหนึ่ง ขายได้ทั่วโลก ไม่ต้องพูดถึงต้นทุน แต่ของบีม ทำธุรกิจเงินสด ต้องหมุนตลอดด้วยตัวเอง ไม่เคยกู้ยืมนะคะ หมุนแบบนี้มาแต่ต้น ดังนั้น กำลังเงินทุนไม่เท่ากันอยู่แล้วค่ะ ต้นทุนต่อชิ้นจึงสูงกว่า ประกอบกับ cost ที่มากกว่า ราคาที่เรากำหนดมาจึงสมเหตุสมผลดีแล้วนะคะ เพราะเราก็ include ต้นทุนหลายอย่างในนั้น โดยที่ลูกค้าไม่ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมเลยค่ะ

4. ของที่หมดบ่อย ๆ นั้น บีมพึ่งทราบจากทางโรงงานว่าเป็นเพราะทางนู้นเขาปรับเปลี่ยนการบริหารภายในค่ะ เลยทำให้ของขาดไประยะหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนของโรงงาน บีมไม่สามารถทำอะไรได้ค่ะ และก็เข้าใจลูกค้าค่ะ ซึ่งทางเราก็กดดันเหมือนกันค่ะ แต่บีมได้คุยกับทางโรงงานแล้ว เขาชี้แจงมาแล้ว หลังจากนี้ไปปัญหาที่ของขาดนี้น่าจะได้รับการแก้ไขแล้วค่ะ แต่ปริมาณการสั่งผลิตบีมคงอยู่ที่ประเภทละไม่เิกิน 200 ชิ้นค่ะ เพราะทุนที่เรามีหมุนทำได้ประมาณนี้ แต่สิ่งที่เราะปรับปรุงคือ ระบบการสั่งซื้อล่วงหน้าจากโรงงานค่ะ เราก็หวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่อง stock ได้ดีขึ้นค่ะ เราก็พยายามแก้ปัญหากันอยู่เสมอค่ะ ไม่เคยนิ่งเฉยเลย

‎5. เรื่องการปรับราคา บีมมองอยู่ตลอดค่ะ รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราคงยังไม่สามารถปรับลงได้ในตอนนี้เพราะต้นทุนของเราสูงอยู่มาก แต่เราพยายามชดเชยด้วยการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งเราก็พึ่งจะจับทางได้ถูกต้องมากขึ้นว่าตัวไหนใช้ดีหรือไม่ดี ตอบโจทย์ลูกค้าหรือไม่อย่างไร ดังที่คุณเก๋จะเห็นในคู่มือผู้ใช้ MarryBeam ว่า บีมคัดให้เหลือเพียงไม่กี่รายการ (น่าจะไม่เกิน 40 ค่ะ) เหลือเฉพาะที่คนใช้แล้วดีเท่านั้น เห็นผลเท่านั้น คัดเอาตัวที่ขายไม่ดี ขายช้า ออกไปหมดแล้วนะคะ ซึ่งเราก็หวังว่าในอนาคตเราจะสามารถปรับลดราคาได้เพราะเรามีรายการสินค้าที่เราคัดไว้แล้วแบบนี้ค่ะ ก็คงจะบริหารจัดการได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องรอเวลาค่ะ ถ้าคุณเก๋ทำธุรกิจก็คงจะเข้าใจตรงนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ

6. เรื่องโครงการน้องปูเป้ รักษาสิวฟรี จะบอกว่าเป็นโครงการที่เราหวัง ผลด้านการตลาดก็ได้ค่ะ บีมไ่ม่โกรธ เพราะในทางธุรกิจ เราก็อยากจะให้คนรู้จักเรา แต่จะในรูปแบบไหน มันก็ต้องตีโจทย์ไปอีก ซึ่งโครงการนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ และถือว่า Win-Win ทั้งหมด ทั้งน้องเป้ ทั้งบีม ทั้ง MarryBeam ทั้งตลาดท้องถิ่น จบโครงการแล้วน้องเป้เขาก็ไปดูแลคนอื่นได้ต่อ เขาก็ไปต่อยอดทำอะไรไ้ด้อีก ตัวบีมก็มีเคสที่จับต้องได้ ได้พัฒนาความรู้ ได้มีหลักฐานว่าบีมเองก็สามารถดูแลคนเป็นสิวให้ดีขึ้นได้จริง MarryBeam ก็ได้รับความเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น ทุกอย่าง Win หมด

ถ้าเรามีของดี เราก็อยากให้คนรู้จัก ดังนั้น โครงการต่าง ๆ ที่บีมทำ ก็ถือได้ว่าเป็นการตลาดค่ะ และหวังผลทางธุรกิจไปด้วย เพราะบีมทำธุรกิจ ธุรกิจต้องมีกำไรจึงจะอยู่ได้ ถ้าเราทำองค์กรการกุศล แล้วขายสินค้าราคาแบบนี้หรือหวังผลทางธุรกิจก็สมควรจะโดนด่าค่ะ เป็นบีมก็ด่า แต่ด้วยบีมเข้าใจแล้วว่าฐานะตัวเอง นอกจากจะเป็นที่ปรึกษาซึ่งหลายครั้งบีมก็ให้วิทยาทานฟรี ๆ เลย ไม่เคยคิดค่าเสียเวลาของตัวเอง แต่ในฐานะผู้บริหารแบรนด์ เราก็ต้องรู้จักต้นทุน รู้จักการบริหารงาน บริหารงาน ให้มันอยู่รอด เราก็ต้องรู้จักทำการตลาด และอะไรอีกมากมายเพื่อให้มันอยู่รอดค่ะ

แต่ทุกครั้งที่บีมจะทำอะไร บีมจะมองว่า
1. มันผิดศีลมั้ย
2. มันผิดศีลธรรมมั้ย
3. ทุกคนได้ประโยชน์มั้ย
4. ทำร้ายใครหรือเปล่า

ถ้าไม่...บีมก็ทำค่ะ

สุดท้ายบีมต้องขอบคุณคุณเก๋ที่เปิดประเด็นและทำให้บีมมีพื้นที่ในการอธิบายใครหลาย ๆ คนที่อาจจะพึ่งเข้ามารู้จัก MarryBeam หรือมีคำถามเหมือนคุณเก๋ ให้เขาได้เข้าใจเรามากขึ้นค่ะ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย บีมไม่โกรธเลยถ้าลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปใช้ของยี่ห้ออื่น ไปคลินิก หรือไปที่ไหน เพราะบีมถือว่าทุกครั้งที่คิด พูด ทำกับ MarryBeam บีมทำดีทีุ่สุดในตอนนั้น ๆ แล้วค่ะ และก็พยายามปรับปรุงพัฒนาเรื่อย ๆ เท่าที่เราจะมีกำลังทำได้ค่      

0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ