Tuesday, June 26, 2012

ปัญหาสิว ความสัมพันธ์ จุดหมาย และการไปให้ถึง

ตอนนี้บีมก็ง่วงมากแล้วค่ะ แต่คิดว่าเรื่องที่ได้เจอมาวันนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกรงว่าจะลืม ก็เลยขอนำมาบันทึกเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะคะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ระหว่างทางที่บีมกับครอบครัวเดินทางไปตัวเมืองเชียงรายเพื่อไปทำธุระ บีมก็โทรกลับน้องคนหนึ่งซึ่งน้องเขาโทรหาบีมเมื่อเย็นวันก่อน 2 ครั้ง แต่ด้วยบีมติดภารกิจช่วงเย็นซึ่งส่วนใหญ่จะง่วนกับการอาบน้ำและป้อนข้าวแคนดี้ หรือจัดการตัวเอง และกว่าจะมาเห็นเบอร์ Missed Call ก็ล่วงเลยไปสองทุ่มกว่าแล้วค่ะ ก็ไม่อยากโทรกลับช่วงนั้นและไม่สะดวกโทรกลับด้วยค่ะ เพราะตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวตลอด ซึ่งบีมจะไม่ทำงานหรือคุยโทรศัพท์ในช่วงนี้ค่ะ

น้องเขาก็เลยส่ง SMS มาหาบีมในตอนเช้าวันนี้ บีมอ่านแล้วก็ต้องรีบหาเวลาโทรกลับ เพราะรู้สึกได้ถึงพลังลบมหาศาลพุ่งออกมาจากตัวหนังสือเลยทีเดียว พอดีแคนดี้เริ่มจะชิว ๆ บ้างแล้ว เลยกดโทรกลับ

น้องคนนี้เป็นน้องที่บีมพบครั้งแรกที่สถานปฏิบัติธรรมเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาค่ะ น้องเขาจำบีมได้เลยทักมา วันสุดท้ายก็เลยได้นั่งคุยกับเขา แต่ด้วยเวลาเรามีน้อย บีมก็ได้วิเคราะห์ปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้ให้และแนะนำให้เขาลองดูในเว็บไซท์ ใน Facebook และหนังสือเพิ่มเติมค่ะ (เพราะน้องเขาติดตามและลองทำตามบล็อกมาได้สักพัก ประมาณต้นปีค่ะ แต่น้องเขาบอกว่าก็ยังมีหลายอย่างที่งงอยู่และไม่ค่อยเข้าใจค่ะ)

น้องเล่าไปและร้องไห้ไปด้วย คือ บีมไม่ถือนะคะ บีมบอกเขาว่าร้องไปเลยค่ะ เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะระบายความรู้สึกที่คั่งค้างออกมาได้ บีมก็รับฟังทุกอย่างที่เขาเล่ามาค่ะ

จับใจความได้ว่าน้องเขากำลังสับสน เขาำกำลังจะรับปริญญาภายในเดือนนี้ แต่ตอนนี้เขามีสิวเม็ดใหญ่ ๆ เต็มหน้าเลย เขาพึ่งทะเลาะกับคุณแม่อย่างรุนแรงและร้องไห้อย่างมาก เพราะคุณแม่มองไม่เห็นว่าการรักษาสิวแบบนี้จะเป็นทางออกแต่อย่างใด น้องเขาก็ไม่กล้าไปฉีดสิว เพราะเกรงว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า คือ เขาสับสนไปหมด

ในรายละเอียดก็คือ
  • น้องเริ่มรักษาด้วยตัวเอง ปรับอาหาร ปรับพฤติกรรม แต่ยังงง ๆ ยังทำไม่ไ้ด้ 100% และตอนที่เจอกันที่สถานปฏิบัติธรรม น้องยังไม่ทราบว่าทานโรตีกับพวกแป้งและมันทำให้เป็นสิวได้ บีมเลยแนะนำให้น้องเขาไปศึกษาเพิ่มเติมค่ะ่ (เห็นเขาว่าเริ่มมาสักพัก น่าจะ้ต้นปีค่ะ)
  • น้องเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ MarryBeam บีมก็พึ่งทราบวันนี้ว่าเขาไม่ค่อยชอบตัวอื่นใน Acne Set แต่เขาชอบมาส์กสาหร่ายมาก ตอนนี้ตัวอื่นก็เหลืออยู่ แต่เขาใช้มาส์กสาหร่ายตลอด ก็พึ่งหยุดใช้ไปไม่นานนี้เมื่อเริ่มจะมีประเด็นกับคุณแม่ และที่เขาไม่ชอบตัวอื่น ๆ ก็เพราะใช้แ้ล้วไม่สบายหน้า ซึ่งบีมก็อธิบายเขาว่าเป็นธรรมดาค่ะ บางคนใช้ได้ทั้งหมดไม่มีปัญหาจนครบ 1 เดือนเลยก็มี แต่ผิวหน้าบางคนอ่อนบาง ก็อาจรู้สึกไม่สบายผิวเมื่อใช้ทั้งเซ็ต เป็นต้น
  • น้องเขาไปหาคลินิกแผนไทยมีืชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็วิเคราะห์ออกมาคล้ายกับบีม และเมื่อหลัง ๆ นี้ คุณหมอบอกว่า ลำไส้เขาไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว เหลือแต่ที่ตับ เพราะเขาเห็นว่าหน้ายังซีดอยู่ ไม่มีเลือดมาเลี้ยงเท่าที่ควร เขาเลยให้ยาขับพิษตับมา หรือยาอะไรที่ไปเกี่ยวกับตับนี่ล่ะค่ะ ซึ่งเขาบอกน้องว่า จะมีสิวขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เม็ดไม่ใหญ่หรอก
  • น้องเขาไปฝังเข็มเพิ่มเติม ซึ่งคุณหมอก็บอกเขาว่า สิวมันไม่ยุบหรอกนะ แต่มันจะออกมาแล้วแห้งเร็วขึ้น
พอบีมฟังทั้งหมด ประกอบกับตอนที่บีมเจอเขา เห็นหน้าเขาครั้งแรกและครั้งล่าสุด ประมวลกับความรู้ล่าสุดที่บีมศึกษามาเรื่องตับ บีมก็เลยสรุปให้น้องดังนี้ค่ะ
  • ทุกวิธีที่เขาใช้นั้นเป็นธรรมชาติบำบัด คือ พยายามให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง ไม่มีการใช้ยากดอาการ ซึ่งเมื่อใช้ยาที่ไปทำอะไรเกี่ยวกับตับ และไปฝังเข็มร่วมด้วย บีมมองว่าพิษมันออกมามากเกินกว่าที่ตับและระบบกำจัดพิษของร่างกายจะจัดการไหว มันเลยออกมาอย่างที่เห็น และถ้าเป็นสิวแดง ๆ บางทีคุณหมออาจลืมให้ยาสงบตับก็ได้ค่ะ หรืออาจจะยังไม่ให้ตอนนี้ ซึ่งตรงนี้บีมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นบีมดูแลเอง แต่ละเคสที่มีสิวขับพิษแดง ๆ ขึ้นเยอะ ๆ เราก็รักษาเองก่อนโดยการหยุดสิ่งร้อนทุกอย่าง ถ้าทนไม่ไหว ก็ต้องหยุดการขับพิษทุกอย่าง หยุดทานตัวล้างพิษทุกอย่าง แล้วช่วยร่างกายแทน คือ ช่วยระบายพิษออกทางผิวหนังโดยการทำให้เหงื่อออก การดื่มน้ำเพื่อให้ปัสสาวะออกมา การหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่ถ้าทำให้เหงื่อออกทางผิวหนังได้จะเร็วมากเพราะผิวหนังนั้นเป็นอวัยวะที่มีพื้นผิวกว้างใหญ่ ถ้าพิษได้ระบายออกทางรูที่ผิวหนัง มันจะช่วยให้อาการขับพิษสงบลงได้เยอะเหมือนกันค่ะ และบีมก็จะแนะนำให้ทานย่านาง โดยถ้าเป็นรูปแบบของน้ำสกัด จากผลการทดลองของตัวบีมเอง บีมว่า แบบน้ำสกัดให้ผลเร็วกว่าแคปซูลเพราะมันดูดซึมเร็วกว่า ซึ่งหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา เขาก็ลองรักษาตัวเองแบบนี้ มันก็ได้ผลค่ะ
  • บีมเลยแนะนำให้น้องหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ แล้วเน้นการบำรุงแทน บำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ทุกวัน หยุดการล้างพิษ ขับพิษทุกอย่าง หยุดฝังเข็ม หยุดทานยา (อันนี้อาจจะลองไปสอบถามคุณหมออีกที แต่บีมมองว่าถ้าจะให้ทันวันรับปริญญา มันต้องหยุดอย่างเดียวน่ะค่ะ แต่ถ้าอยู่ในคอร์สของหมอ ก็ปรึกษาคุณหมออีกทีว่าหยุดกะทันหันได้มั้ย)
  •  ตอนนี้ให้ลดความตึงเครียดระหว่างน้องกับแม่ก่อน เพราะความเครียดยิ่งทำให้สิวแย่ลง ตับแย่ลง ซึ่งบีมเข้าใจว่าจุดนี้สำคัญมาก และบีมตระหนักดีว่าไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะเข้าใจและสนับสนุนสิ่งที่ลูกทำ ถ้ายิ่งเห็นว่ามันต้องอด มันต้องเลือกอาหาร และยิ่งมีสิวขึ้นอีก ถ้าพ่อแม่ไม่ได้มาศึกษากับเราด้วย บีมเข้าใจว่ามันยากมาก และจะเป็นชนวนให้ทะเลาะกันได้ด้วยค่ะ ตรงนี้บีมทราบและเข้าใจดี และการที่บีมเขียนบอกให้ทุกคนตั้งใจไปให้ถึงจุดหมาย บีมไ่ม่ได้บอกว่า วันนี้ ตอนนี้ การใช้ชีวิตคือศิลปะ ถ้าสิ่งที่เราทำมันทำให้ทุกอย่างกำลังเครียดเกินไป เราก็หย่อนลงให้มันบางลงบ้างก็ได้ค่ะ คือ เราก็ทานปกติ แต่เราก็เลือกสิ่งที่มีประโยชน์ให้มากที่สุด บีมรู้ว่ามันยาก เพราะบางคนก็อยู่กับครอบครัว แม่ทำอาหารให้ แต่แม่ไม่ได้ลงมาศึกษากับเราว่า อาหารแบบนี้มันไม่ดีต่อร่างกายนะ พอเราไม่ทานแบบนี้ บางทีท่านก็มีน้อยใจ เสียใจบ้าง .... คือ บีมว่ามันอยู่ที่วิธีการสื่อสารของเราด้วยค่ะ พ่อแม่รักเราทุกคน ท่านเห็นลูกเชื่อคนอื่นมากกว่าท่าน บางทีท่านก็น้อยใจ ท่านเห็นลูกเป็นสิว ท่านก็ทุกข์ใจ ยิ่งมาเห็นเราอดอาหารอะไรอีก ยิ่งไม่สบายใจ มันเป็นปกติที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะท่านไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รักเรา...ดังนั้น สำคัญที่การสื่อสารของเราค่ะ  ตัวบีมนั้น  แม่รู้จักธรรมชาติของบีม เขาเลยไม่ค่อยมาอะไรตอนที่บีมทำ เขาก็ขัดและไม่เห็นด้วยหลายครั้ง ซื้ออาหารอร่อย ๆ มายั่วหลายครั้งค่ะ บีมก็แตกแถวมั่ง แต่น้อยมาก ... แต่พอทุกอย่างมันเห็นผล เขาก็เริ่มเชื่อ แต่มันต้องอาศัยเวลา บีมใช้วิธีอธิบายให้เขาฟังให้เข้าใจก่อน แต่ท่านจะเข้าใจและเห็นแบบเราหรือไม่ก็สุดที่จะทำอะไรได้ และเวลาที่ท่านซื้ออาหารที่ท่านว่าอร่อย แต่บีมมองว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย บีมใช้วิธี ไม่ทาน ถามว่าท่านรู้สึกอะไรไหม ท่านก็ถามนะคะว่า อ้าว ไม่กินเหรอ แต่บีมก็เลี่ยง ๆ ว่า ยังอิ่มอยู่ ก็ปล่อยเอาไว้จนของมันเสีย แล้วท่านจะจำได้เลยว่า อันนี้ซื้อมาบีมไม่กิน :) คือ หลายครั้งที่เราพูด แต่ถ้าเรากิน ท่านก็ยังซื้อมาน่ะค่ะ แต่ใจบีมมันไม่เอาแล้ว ไม่อยากกินของแบบนี้ แต่เราไม่อยากพูดทำ้ร้ายท่าน มันก็ต้องหาวิธีว่า ทำยังไงท่านจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาอีก และพอแม่บีมเริ่มเข้าใจสิ่งที่บีมทำ ท่านเริ่มซื้อผลไม้ ซื้อสลัด แทนที่จะเป็นของทอด ของกินเล่นแบบเมื่อก่อน คือ ใครจะกินอะไรก็กินค่ะ ท่านก็จะซื้อมาให้บีมอีกชุดหนึ่งไปเลย มันก็กลายเป็นความเคยชินว่า ถ้าจะซื้อของ ก็ต้องมี 2 ชุด เวลาไปสั่งอะไรต้อง 2 แบบ เพราะบีมกินไม่เหมือนใคร .... แต่กว่าจะถึงจุดนี้ มันก็ผ่านช่วงเสียน้ำตามาเยอะค่ะ ไม่ใช่ว่าเราได้อะไรมาง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ค่ะ แต่มันคือรางวัลแห่งชีวิต รางวัลให้กับวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกทางของเรา ถ้าเรามีสติ เราค่อย ๆ คิดแก้ปัญหาไปทีละเปลาะ เน้นสายกลาง มองชีวิตเป็นศิลปะบ้าง ลดความตึงเครียด มีจิตวิทยาในการคุยกับคนรอบข้าง ถ้าช่วงไหนมันไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องปล่อย ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เราทำทุกอย่าง มันจะไม่มีปัญหาเลย และไม่เครียดด้วย เพราะเรารู้ว่าจุดหมายปลายทางคือ 1. ทำให้ตัวเราสุขภาพดีขึ้น 2. ทำให้ตัวเราหายจากสิว 3. ทำให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่ คือ ถ้าข้อ 1. กับ 2. มันสำเร็จ ข้อ 3. มันตามมาเองอย่างง่ายดายค่ะ
  • แนะนำให้น้องใช้ตัวที่ทำให้สิวยุบไปก่อน คือ ไม่ต้องใช้มาส์กสาหร่ายแล้ว เพราะพิษในกระแสเลือดเขาเยอะ แล้วมาส์กนี้มีคุณสมบัติพิเศษคือซับพิษจากผิวคือ มันซับจากเส้นเลือดออกมาได้นะคะ เพราะทุกอณูของผิวเราก็มีเส้นเลือดฝอยแทรกอยู่ทั้งนั้น คือ ถ้ากรณีที่พิษขับเยอะเกินไป ตับจัดการไม่ได้ แล้วไปใช้มาส์กซับมาอีก แม้มันจะแห้งในที่สุด แต่มันก็ต้องดึงพิษออกมาอยู่ตลอด มาส์กนี้บีมแนะนำให้คนที่พิษเหลือน้อยแล้วใช้จะดีกว่าค่ะ เพราะวัตถุประสงค์คือ บีมอยากให้ซับสารเคมีที่ตกค้างบนผิว คือ ยาที่เคยใช้ทารักษาิสิว ปรอท กรดวิตามินเอ อะไรพวกนั้นมากกว่า บีมไม่ได้ต้องการให้มันซับพิษในกระแสเลือดออกมาด้วย แต่มันก็ดันทำได้เอง สรุปว่า ถ้าเขาไปจะไปฉีดสิว เขาก็ทำเถิด เพราะ ณ ตอนนี้เป็นวิธีเดียวแล้วที่พอจะฝากความหวังได้ค่ะ (เขามีเงื่อนไขคือ ซ้อมรับวันอาทิตย์นี้และรับจริงประมาณต้นเดือนหน้า) และบีมก็ถามเขาว่าช่างแต่งหน้าเขาเก่งมั้ย เขาบอกว่าช่างคนนี้ก็โอเคค่ะ แต่งหน้าเจ้าสาวเพื่อนพี่สาว เขาช่วยปกปิดให้ได้ แต่ถ้าสิวนูนต้องฉีดให้ยุบก่อนจึงจะแต่งได้เนียนได้ แต่บีมก็บอกน้องว่า่ ในเคสที่ฉีดสิว ถ้าในอนาคต เวลาเราล้างพิษผิว มันก็ออกมาได้อีกนะ แต่ตอนนี้น้องจำเป็นต้องทำสิ่งเฉพาะหน้า และช่างก็แนะนำมาแบบนั้น บีมก็เข้าใจค่ะ อันนี้ก็บอกเขาไปว่าทำได้แต่ในอนาคตมันก็ต้องมาจัดการกันอีก เขาก็โอเค คือ ให้มันผ่านจุดนี้ไปก่อนก็แล้วกัน และตัวอื่น ๆ ที่ใช้กับผิวก็ควรเป็นพวกตัวรักษาสิวพื้นฐาน ไม่มีล้างพิษเลยค่ะ เช่น ตัวแต้มให้สิวยุบ ซึ่งบีมแนะนำให้เขาลองใช้น้ำย่านางเช็ดหน้าดู เพราะมีสิวแดงบนหน้า และผิวเขาอ่อนบาง การใช้น้ำย่านางน่าจะดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไปค่ะ
ในตอนท้าย น้องก็สบายใจขึ้นค่ะ บีมก็เบาใจไปด้วย

บีมรู้ว่าหลายคนก็คงต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ต้องทะเลาะกับคนใกล้ตัว คนที่เรารัก

ไม่ใช่ว่่าเขาไม่รักเรา แต่แค่เขา "ยังไม่เ้ข้าใจ" เท่านั้นเองค่ะ

ลองฟังว่าจริง ๆ แล้วหัวใจเขาพูดว่าอย่างไร สะท้อนความรู้สึกนั้นออกไปให้เขารับรู้ว่าเรารู้ว่าเขาเป็นห่วงอย่างมาก แต่...ณ จุดนี้ก็ลองใส่เหตุผลที่เราทำแบบนี้ลงไป เอาอารมณ์ออกไปก่อน เพราะถ้าร้อนกับร้อนมาเจอกัน มันเอาอัตตาคุยกัน ยังไงก็ไม่จบค่ะ

บีมไม่อยากเป็นชนวนให้พ่อแม่ลูกหรือคนรักเขาแตกกันเพราะเรื่องการรักษาสิว

ดังนั้น บีมอยากให้เพื่อน ๆ นั้นตั้งใจได้ มุ่งหวังได้ แต่ระหว่างที่เดินทางไปก็ต้องมีศิลปะ ต้องดูความเหมาะสม เดินบนสายกลาง ข้อสำคัญคือ ให้เกิดความเครียดน้อยที่สุด ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่น ๆ เราทำได้แค่ไหน ณ ตอนนั้น เราก็ทำเท่าั้นั้น แต่สำคัญก็คือ เราเ้ข้าใจและรู้ตัวเสมอว่า "เราทำอะไรอยู่"...และ "เรากำลังจะเดินไปไหน"....(จุดหมาย)

ความฝันแต่ละอย่างของบีม ไม่ว่าจะเป็นการที่รักษาสิวตัวเองจนหายด้วยตัวเอง หรือการได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานด้วย เลี้ยงลูกและอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิดได้ด้วย ไม่ได้เกิดขึ้นภายในไม่กี่ปี

บีมตั้งใจที่จะรักษาสิวด้วยตัวเองให้หายตั้งแต่ ม.5 นู่นเลยนะคะ ตั้งแต่ที่หมอพูดว่า "ตับอยู่ใน หน้าอยู่นอก เธอเลือกเอาเอง" (ตอบบีมเรื่องผลข้างเคียงโรแอคคิวเทน) ตอนนั้นน่า่จะ 17 ปีค่ะ กว่าบีมจะเจอทางออกจริง ๆ ก็ปาไปอายุ 25 ปีแล้ว ใช้เวลาประมาณ 8 ปี คือ ถ้านับจริง ๆ ตั้งแต่จุดที่ตั้งใจเลยคือ 8 ปี ไม่ใช่ 7 เดือนนะคะ

บีมเคยฝันเอาไว้ว่าจะมีธุรกิจแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือ มีเวลาเลี้ยงลูกเต็มที่ช่วงที่เขามีอายุ 0-3 ปีตั้งแต่ตอนที่ทำงานใหม่ ๆ บีมฝันอยากมีลูกมาตั้งแต่ก่อนมีแฟนอีกค่ะ ก็คิดมาอยู่เสมอว่าถ้ามีจะต้องได้เลี้ยงเอง ยิ่งทำงานที่จิมโบรี รู้เลยว่าช่วงที่เด็กเล็ก ๆ นั้นเป็นช่วงสำคัญมากที่จะวางรากฐานชีวิตทั้งชีวิตให้เขา บีมมองสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองและก็ทราบว่าด้วยคุณพ่อคุณแม่ต้องทำมาหากินเพื่อให้บีมกับน้องเรียนสูง ๆ ท่านก็ต้องไปทำงาน (เป็นครู) และต้องฝากเราไว้กับพี่เลี้ยง บีมโดนพี่เลี้ยงตีด้วย (ก็พึ่งรู้นี่แหละ) เลยกลายเป็นเด็กเก็บกด เงียบ ๆ คือ

จริงๆ แล้วบีมเครียดตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว เพราะคุณแม่ก็เครียดหลายอย่างค่ะช่วงท้องบีม มันเลยเป็นความตั้งใจเลยว่า ถ้าบีมจะมีลูก บีมต้องมีเวลาที่จะลั้นลากับเขาตั้งแต่ตอนท้องจนถึงอย่างน้อย 3 ขวบ บีมเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองที่จะสอนเขา บีมตั้งใจเลยว่าจะเลี้ยงเอง ทุกอย่างนี้บีมตั้งใจตั้งแต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลย นี่เรื่องจริง คาดว่าความตั้งใจนี้ก่อนบีมจะอายุ 20 ปีอีกค่ะ แต่อย่างที่บอก มันมีแรงผลักดันที่จะทำให้ได้แบบนี้ และรู้แค่ว่า ต้องงานอิสระเท่าันั้นที่จะให้ชีวิตเราแบบนี้ได้ ไม่ใช่งานประจำ บีมถึงมีปัญหากับงานประจำอยู่เรื่อย บีมทำงานดีนะ แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบ เราก็ยังเด็ก ถ้าไม่ชอบก็คือแสดงออกว่าไม่ชอบ ไม่รัก ถ้าไม่ชอบหัวหน้า ก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ เพราะบีมไม่หวังความก้าวหน้ากับงานประจำอยู่แล้ว (ในตอนนั้นนะคะ) คือ หัวดื้อมากกก แต่ก็เป็นช่วงกราฟชีวิตดิ่งมากเหมือนกัน

ลองดูนะคะ ความตั้งใจและความฝัน บีมยังคงรักษามันมาเรื่อย ๆ แม้บีมจะมองไม่เห็นทางในตอนนั้น แต่เพราะบีมเชื่อว่าบีมต้องทำให้มันเกิดขึ้นได้ และบีมก็พยายามหาทาง และดีที่ว่า ในชีวิตของบีมไม่เคยได้อะไรมาง่ายดาย บีมต้องทำเองถึงจะได้ อยากเข้าโรงเรียนดี ๆ ก็ต้องสอบเอง ไม่มีการฝาก พ่อแม่ของบีมเลี้ยงมาแบบให้ทำอะไรเองหมด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ และมันหล่อหลอมให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเลือก สิ่งที่เราทำ ยิ่งตอนสมัยเรียนบีมสนใจวิชาจิตวิทยามาก ๆ บีมก็เอาทฤษฎีมาลองใช้หลายทฎษฎีค่ะ ที่บีมชอบมากคือ สั่งจิตใต้สำนึก ทดลองทำหลายทีแล้วได้ผลดีมาก ยิ่งตอนเรียนภาษาอังกฤษกับครูเคท ท่านก็สอนเทคนิคนี้ บีมเอามาใช้ จากคนที่ฟังอังกฤษไม่ได้เลย กลายเป็นเริ่มฟังออก และทุกวันนี้ก็ฟังได้แล้วค่ะ แต่มันไม่ค่อยได้ใช้บ่อย ก็ต้องใช้เวลาจูนมั่ง

แต่จากตรงนั้น และจากหลายอย่างที่เราทำและขวนขวายมาเอง เรารู้เลยว่า "ถ้าตั้งใจ...อะไรก็สำเร็จ" ไม่ว่าจุดหมายหรือเป้าหมายที่ตั้งจะเป็นอะไร มันต้องถึงถ้าเรายังรักษามันไว้ให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ และแต่ละอย่างไม่ใช่ใช้เวลาแค่ไ่ม่กี่เดือน ตอนที่ฝันก็ใ่ช่ว่าจะเห็นทาง แต่เพราะคิดว่าต้องทำให้ได้ ต้องถึง แต่แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรารู้แค่ว่า ถ้าเราต้องการอะไร เราต้องดูว่าอะไรที่จะเป็นบันไดไปสู่สิ่งนั้น เราก็ค่อย ๆ เริ่มทำ ก้าวเล็ก ๆ นี่แหละค่ะ มันจะนำเราไปสู่สิ่งนั้นได้เองในที่สุด ค่อย ๆ สะสมมันไป

บีมก็เขียนซะยาว ดึกแล้วด้วย

หวังว่าใครได้อ่านบทความนี้จบจะมีกำลังใจในการไปให้ถึงฝั่งฝันไม่ว่าจะอะไรก็ตามนะคะ

บีมเป็นกำลังใจให้คนที่ตั้งใจทุกคนค่ะ
^^

0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ