Thursday, July 12, 2012

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Whitening Cream

ด้วยความที่มีข้อข้องใจสงสัยมากมายเกี่ยวกับประเด็นครีมหน้าขาวที่มันมากันเป็นระลอก ๆ และที่มันกระทบกับความรู้สึกของคนใช้ MarryBeam น่าจะเป็นเรื่องของครีมที่ช่วยในการรักษารอยค่ะ คือ เราไม่ได้ใส่สารอันตรายอะไรลงไปในครีม ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อผู้บริโภคของเราแน่ แต่บีมว่าหลายคนและเพื่อนของอีกหลายคนที่เห็นว่าใช้ของเราแล้วทำไมหน้ามันขาวใสขึ้น ดีขึ้น แล้วเขาจะต้องมาถามกลับใช่ไหมคะ  ทำไมมันดีแบบนั้นล่ะ ระวังเถอะ ใช้แล้วจะมีปัญหา

คืนนี้บีมเลยสละเวลาเขียนหนังสือ ตระเวนอ่านข้อมูลให้มากที่สุดทั้งไทย ทั้งอังกฤษ เกี่ยวกับประเด็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษารอยและฝ้าไปดูทั้ง forum ทั้งงานที่ professional เขียน ก็ดูหลาย ๆ ที่ค่ะจะได้เห็นภาพรวม บีมไม่ได้เลือกเอาที่ตรงกับความเห็นของตัวเองแน่ ๆ เพราะถ้ามันมี effect จริงกับผู้ใช้ของบีม บีมจะได้เลิกขายอย่างไรล่ะคะ คือ อ่านให้มันรู้แน่ ๆ ไปเลยว่าอะไรยังไง เพราะบีมก็เบื่อกับประเด็นหน้าขาว ๆ ตัวขาว ๆ อะไรนี่แหละค่ะ คือ ถ้าเราไม่รู้ข้อมูลทั้งหมด ไม่รู้บริบทว่ามันเป็นไงมาไง เราก็จะงง ๆ กับสิ่งที่เราทำ บีมเป็นคนไม่ชอบอารมณ์แบบนี้ซะด้วย คือ ถ้าอะไรไม่ดีก็พร้อมจะตัดออกไป ชอบทำอะไรที่มันสบายใจ

ตัวบีมน่ะรู้ว่าบีมไม่ได้ขายอะไรที่เป็นอันตราย แต่คนอื่นเขาจะรู้กับเรามั้ย นั่นล่ะคือประเด็นที่บีมกำลังจะเรียบเรียงให้ฟังนะคะ โดยไม่ได้ออกมาจากความเห็นของบีม แต่บีมเรียบเรียงข้อมูลมาอีกที จะได้เอาอคติออกไปนะคะ แล้วให้ผู้อ่านได้พิจารณากันเอง

บีมสรุปให้ฟังก่อนตามนี้นะคะ

บีมตั้งต้นค้นคว้าประเด็นที่มีการถกกันมากสุดก่อน คือ FDA กับ Hydroquinone เพราะเวลาเป็นข้อมูลจากต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มันจะเห็นอะไรกว้างกว่าค่ะ

อันนี้ต้นฉบับ

As a result of the review spanning over 40 years, hydroquinone was one of many products receiving the "GRASE" (generally recognized as safe and effective) designation. In the 1980s, reports of exogenous ochronosis secondary to hydroquinone use by South African Blacks appeared in the medical literature. A large proportion of these reports describe subjects that had applied high concentrations (6%-8.5%) of hydroquinone-containing products (hydroalcoholic solutions, some with mercury and/or resorcinol) over extensive body surfaces, several times a day, for years and even decades.


เท่าที่อ่านดูมาแต่ละอัน อันนี้ดูเป็นกลาง ๆ ที่สุดละ ยังไงก็ลองไปติดตามอ่านให้จบได้ค่ะ

คือ เจ้าไฮโดรควิโนนเนี่ยมันถูกใช้ในการรักษาฝ้าและได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้มาก ใช้กันมา 40 กว่าปี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเป็นอะไร (ในอเมริกานะคะ) แต่พอมาช่วงปี 1980 เนี่ย ก็มีรายงานมากมายเลยที่เป็นผลข้างเคียงเกี่ยวกับความผิดปกติของสีผิว ซึ่งจะเป็นลักษณะดังรูปนี้



แล้วมีหลายเคสมาก ๆ แต่เป็นเพราะอะไรทราบหรือไม่คะ คือ เขาไม่ได้ใช้ไฮโดรควิโนนเพียว ๆ หรือใช้เปอร์เซ็นต์ต่ำเหมือนที่ในสหรัฐฯ เขาใช้ คือ เขามีข้อกำหนดว่า ถ้าจะผลิตครีมรักษาฝ้าหรือรอยสิวขายทั่วไปเนี่ย จะต้องมีไฮโดรฯ ไม่เกินกว่า 2% ซึ่งถ้าเกินกว่านั้นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

ชาวแอฟริกันที่อยากขาวเขาก็ทั้งทาหน้า ทั้งทาตัว และเราต้องเข้าใจว่าความอยากกับความรู้มันสวนทางกัน คือ บีมไม่ได้มีอคติอะไรกับคนผิวสีหรือชื่นชอบผิวขาวเป็นพิเศษ แต่เราพูดความจริง เราก็รู้ว่าประชากรส่วนใหญ่ในทวีปนี้เขาก็ไม่ได้รวย ติดอันดับยากจนเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่อยากขาวเขาก็จะใช้ครีมที่ทำให้ขาวโดยหารู้ไม่ว่า ความอยากขาวเร็วแต่อยากได้ของราคาไม่แพงนั้น มันแฝงมาด้วยไฮโดรฯ เปอร์เซ็นสูงที่มากกว่า 4% และยังมีสารอื่น ๆ ปะปนอยู่ในครีมด้วยเช่น ปรอท กรดวิตามินเอ คือ ปรอทเนี่ย ยังไงมันก็ไม่ควรมาอยู่ในครีมแน่ ๆ แต่เขาใส่เพื่อให้มันเร็ว ส่วนเจ้ากรดวิตามินเอนี้ จริง ๆ แล้วในครีมรักษาฝ้าและรอยสิวที่จำหน่ายอยู่ก่อนที่ FDA จะแบนนี้ มันมีผสมอยู่แล้วค่ะ เพราะมันจะทำงานร่วมกับไฮโดรฯได้ดี คือ กรดวิตามินเอจะช่วยให้ผิวผลัดเร็วขึ้นเพื่อช่วยให้ไฮโดรฯเข้าไปได้มากขึ้นนั่นเอง ไฮโดรฯก็เข้าไปทำงานของเขาคือยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินนั่นเอง

พอใ้ช้ของแบบไม่มีสติ ไม่มีความรู้ มันก็เลยเป็นโทษนั่นเองค่ะ เพราะเขาใช้กันทุกวัน วันละหลายเวลา ต่อเนื่องกันเป็นปีและหลายปีก็มี

แล้วพอมีเคสแบบนี้ในแอฟริกามากมาย ทางยุโรป ญี่ปุ่น ก็แบนไฮโดรฯ ไปเลย แต่บีมไม่แน่ใจว่าแพทย์สั่งได้อยู่ไหมนะคะ ลองไปค้นกันดูเองถ้าอยากทราบเนอะ

ฝั่งอเมริกาเอง FDA ก็มาทำการทดลองกับหนูทดลอง โดยให้หนูทานในปริมาณสูง ๆ ตามเอกสารที่บีมอ่านเบื้องต้นนี้ เขาได้ข้อสรุปว่า ไฮโดรฯ มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็น สารก่อมะเร็ง...
 
"some evidence of carcinogenicity." (จากเอกสารชิ้นเีดียวกันนี่ล่ะค่ะ)

แต่เอกสารนี้มันก็นานแล้วเหมือนกันนะคะ คือ น่าจะ 2007 ละ แต่เขาก็พยายามนำเสนอจุดอ่อนที่ FDA ควรตระหนักในการทดลองครั้งนี้ คือ ไม่ได้มีการทดลองกับคน และเขาก็มีข้อสรุปว่า

To the best of our knowledge, their have been no cases of cancer associated with cutaneous application of hydroquinone.

จากความรู้สูงสุดที่เรามี, ไม่มีเคสการทาไฮโดรควิโนนบนผิวหนังจะเกี่ยวข้องกับการก่อมะเร็ง

และเขาก็นำเสนอไป FDA ไป 3 ข้อ

On behalf of the Dermatology Section of the National Medical Association, we included in our response to the FDA a request that in consideration of their "mission" they: 1) consider the cases of exogenous ochronosis reported in the US--not Africa, 2) review all of the available pharmacology/toxicology data on hydroquinone, and 3) use their resources to obtain epidemiologic human data to fully answer the safety questions.
  1. ให้พิจารณาเคสที่เป็นโรคเม็ดสีผิดปกติที่มีรายงานในสหรัฐฯ ไม่ใช่อาฟริกา
  2. พิจารณาข้อมูลทางด้านเภสัชและพิษวิทยาของไฮโดรควิโนนทั้งหมดที่มี
  3. ใช้แหล่งข้อมูลของ FDA เองในการเก็บข้อมูลที่ผิวหนังมนุษย์ (ไม่ใช่ให้หนูกิน- บีม) ในการตอบคำถามด้านความปลอดภัยทั้งหมด
อันนี้เป็นสิ่งที่องค์กรนี้นำเสนอไปนะคะ ก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขาละ

แต่จากที่อ่าน ๆ ดูรีวิวของผู้ใช้ไฮโดรฯ ที่เป็นฝรั่งมังค่าและชาวผิวสีในอเมริกา ก็ได้ข้อสรุปมาดังนี้

กลุ่มแรก พอใจผลลัพธ์
กลุ่มที่สอง มีอาการแสบแดง คัน ตึง ๆ เล็กน้อยตอนกลางวัน หยุดใช้ก็ดีขึ้น
กลุ่มที่สาม ใช้ตอนแรกดีมาก แต่พอหยุดใช้หน้าคล้ำลง บางคนดำและฝ้าขึ้นเป็นปื้น (กลุ่มนี้บีมสังเกตว่า เหมือนเขาจะไม่รู้ว่าตอนใช้ไฮโดรฯ ต้องใช้กันแดดด้วย แป่ว! คือจะ Whitening ที่มีสารสกัดตัวไหนก็ต้องทากันแดดทั้งนั้นล่ะค่ะ แม้จะไม่ได้ใช้ Whitening ก็ควรทาอยู่ดี เพราะแดดมันแรงมาก ๆ เลยตอนนี้ คือ ตอนที่ใช้ไม่ได้ทากันแดด และพอหยุดใช้แล้ว เม็ดสีก็เห็นว่า โอ้ว! อันตรายมาก ไม่มีเมลานินปกป้องผิวเลยนะนี่แดดแรงแบบนี้ เลยผลิตกันขึ้นมาเพียบเพื่อจะพยายามช่วยปกป้องผิวอีกครั้ง เลยเป็นปื้นดำน่ะค่ะ นี่สมมติฐานของบีมเป็นแบบนี้)

ในด้านแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่ง ก็มีการจัดตั้งทีมศึกษาและก็มีการต่อต้าน FDA ในเรื่องนี้เหมือนกัน โดยมองประเด็นคล้าย ๆ กับบทความที่บีมได้นำเสนอไปแล้ว

However, hydroquinone products in South Africa and other African countries were found to also contain mercury and glucocorticoids, among other caustic and illegal contaminants, which is believed by many to be the cause of the serious side effects seen (Sources: International Journal of Dermatology, February 2005, pages 112–115; and British Journal of Dermatology, March 2003, pages 493–500). Other countries, such as those in the European Union have banned hydroquinone chiefly on the basis of these reports, but it's without substantiated proof that, when properly formulated, hydroquinone is not a harmful ingredient.


Finally, despite what you may have read, hydroquinone is not carcinogenic (cancer-causing). Considerable analysis of the animal research that raised this concern has shown that hydroquinone is not and cannot be classified as a human carcinogen (Source: Critical Reviews in Toxicology, Volume 10, 2007, pages 887-914). If you're struggling with brown spots or sun-induced skin discolorations, hydroquinone remains the best ingredient to treat them.


และนี่คือ PRESS RELEASE จาก Harvard Health
Hydroquinone. Many dermatologists consider this cream the best choice for treating age spots. You can expect to see results in four to six weeks, with the greatest improvement after four to six months. The most common side effect is irritation or reddening. The FDA recently proposed a ban on over-the-counter preparations containing hydroquinone because studies found that the drug may cause cancer when fed to rats and mice. So far, there are no studies showing any increased risk to humans using the drug topically. The FDA is still responding to challenges from critics who oppose the ban.



 แต่ก็นั่นล่ะค่ะ บีมยังหาบทความล่าสุดคือ 2011 - 2012 เกี่ยวกับข้อสรุปของ FDA ไม่เจอ ใครเจอก็ช่วยแ้จ้งด้วยนะคะว่าสรุปว่ายังไง ที่หา ๆ มานี้ก็เป็นของปี 2006-2007 ยกเว้นพวกรีวิวของผู้ใช้ธรรมดาค่ะ ที่อาจจะมาใหม่ ๆ เลย

ที่หาไ้ด้ใหม่สุดก็อันนี้นะคะ คือ FDA ประกาศว่าไฮโดรฯ เป็นสารที่ปลอดภัยแล้ว (แต่มันไม่มีลงวันที่ที่คนอัพเดทบทความนะคะ ยังไงช่วยบีมดูอีกทีนะคะ มีตรงไหนต้องแก้ก็บอกกันได้เลย ไม่อยากให้คนได้ข้อมูลผิดพลาดไป แต่เท่าที่ดู ๆ แล้ว อันนี้ล่ะที่อัพเดทล่าสุด)

The FDA has classified hydroquinone currently as a safe product, as currently used.[4][6]

และจากที่บีมอ่านมาทั้งหมดทั้งมวล มาสรุปให้ฟังม้วนสุดท้ายว่า
  1. จริงๆ  แล้วสมัยก่อนเจ้าไฮโดรฯและครีมรักษาฝ้าที่ขายทั่วไป (ในอเมริกา) เขาอนุญาตให้ใช้ไฮโดรฯ ได้ไม่เกิน 2% ถ้ามากกว่านั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  2. ใช้กันมา 40 กว่าปีไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งมีเคสที่อาฟริกาเกิดขึ้น 
  3. จากนั้นยุโรป ญี่ปุ่น ก็แบนไป ส่วนอเมริกาปี 2006 FDA (อ.ย.ของอเมริกา) มีข้อเสนอให้แบนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฮโดรฯเพราะผลการทดลองจากหนูทดลองโดยการให้กินนั้นสามารถเป็นสารก่อมะเร็งได้
  4. ล่าสุด (จากเอกสารที่ค้นคว้ามานะคะ) FDA ประกาศให้เป็นสารปลอดภัยแล้ว และล่าสุดที่บีมเช็คในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางของ อย. ฉบับล่าสุดเลย บีมค้นดูแล้วไม่มีชื่อ Hydroquinone ในเอกสารนะคะ แต่มันมีชื่อสารกว่า 500 ตัวได้นะ ซึ่งใครที่เรียนเคมีก็ลองไปเช็คดูนะคะว่ามันมีเจ้าตัวนี้อยู่ในนั้นมั้ยเพราะบีมไม่รู้จักชื่อเขาในการเขียนแบบอื่น คือ เคยเรียนเคมีมาค่ะ สารตัวนึงอาจมีหลายชื่อ มีชื่อเล่น ชื่อจริง อะไรแบบนี้เนอะ แต่บีมพิมพ์คำว่า Hydroquinone แล้วมันไม่เจอ นะ แต่เจอ retinoic acid (กรดวิตามินเอ) และอีกตัวค่ะ และข่าวนี้ก็ออกจาก อย.เอง ก็ยังมีไฮโดรเป็นสารต้องห้ามค่ะ http://elib.fda.moph.go.th/elib/cgi-bin/opacexe.exe?op=dsp&wa=5149BA4&bid=38115&qst=@158,@76545,^,@160,^,@508,^,@76546,^&lang=1&db=jindex&pat=%e4%ce%e2%b4%c3%a4%c7%d4%e2%b9%b9&cat=gen&skin=u&lpp=20&catop=&scid=zzz

    สำหรับเอกสารที่เป็นข้อกฎหมายที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเลย คือ
    ประกาศกระทรวงสาธารณสุข
    เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง
    หน้า ๑๓ เล่ม ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๘๐ ง ราชกิจจานุเบกษา ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/E/080/13.PDF

    กด Crlt+F แล้วหาดูนะคะ หรือใครมีความสามารถในการดูสารเคมีและชื่อของมัน ก็ลองตรวจสอบดูกันอีกทีค่ะ แต่ Mercury กับ Retinoic Acid นั้นมีแน่นอน แต่ไม่เจอถ้าหาด้วยคำว่า Hydroquinone ซึ่งเขาอาจจะมีชื่อเล่นอื่น ๆ นะคะ
  5. สุดท้ายแล้ว ถ้าเฉพาะไฮโดรฯ กับกรดวิตามินเอ หากใช้แบบมีสติ ใช้แบบถูกวิธี คือ ใช้เฉพาะก่อนนอน ใช้ในความเข้มข้นต่ำ (สหรัฐฯกำหนดที่ 2% หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ำจำหน่ายทั่วไป ถ้าเิกินกว่านี้ก็ต้องให้หมอจ่ายเท่านั้น) ใช้ไม่นาน ไม่ได้กิน และทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงขั้นมะเร็งอย่างที่ตกใจกลัวกัน แต่แดดสมัยนี้มันแรงมาก ๆ อย่างไรล่ะคะ การใช้ครีมที่ทำให้ผิวขาว ทำให้ผลัดเซลล์ รักษารอย จึงควรต้องใช้อย่างระมัดระวังมากขึ้น ใช้แล้วก็ต้องใช้ตามวิธีที่มันถูกต้อง ถอนการใช้ถูกต้อง เพราะเจ้าตัวเหล่านี้เขาไปทำให้เม็ดสีไม่ทำงาน ซึ่งตามปกติเวลาที่ผิวโดนแดดหรือความร้อน ผิวจะตอบสนองโดยการสร้างเมลานินขึ้นมาปกป้องตามธรรมชาติ ทำให้คนไทยคล้ำกว่าฝรั่งหรือญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

    คือส่วนตัวบีมไม่ค่อยเชียร์ให้คนใช้เพื่อหน้าขาว แต่ที่ MarryBeam มีตัวรักษารอยขึ้นมา บีมมั่นใจว่าไม่มีสารอันตรายแน่นอน และชุด PRETTYS นั้นก็ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของการช่วยให้รอยสิวจางเร็ว คือ เมื่อก่อนบีมจำหน่ายแต่ตัวช่วยฟื้นฟูิผิวกับรักษาสิว พอลูกค้าสิวหาย เขาก็อยากรักษารอย แต่สูตรที่เคยมีมันก็ไม่สามารถตอบสนองได้ บีมเลยแจ้งทางแล็ปว่าขอที่รักษารอยได้ดีกว่าเดิมได้ไหม มันก็ได้มา 3 สูตรคือ น้ำนมข้าว น้ำลายหอยทาก และชุด PRETTYS นั่นเองค่ะ ซึ่งถ้าใครใช้แล้วมีอาการแพ้ ก็คืนได้ เราไม่ว่ากัน เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แต่ไม่เคยมีใครหยุดใช้แล้วฝ้าดำเป็นปื้นขึ้นสักคนนะคะตั้งแต่ขายมาค่ะ คือ หลังจำหน่ายไป เราก็คอยเก็บข้อมูลตลอด ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้างไปค่ะ ไม่ได้สักแต่ว่าขาย คือ ถ้าใครใช้แล้วมีปัญหาต้องกล้าเขียนมาบอก เราจะได้ทราบด้วยค่ะ จะได้ช่วยคุณแก้ปัญหาหรือจะได้ทราบว่าผิวแบบไหนที่จะใช้ได้หรือไม่ได้อย่างไร เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคท่านอื่นด้วย

    สำหรับชุด PRETTYS บีมก็ไม่ได้แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องไปตลอด คือ ถ้าพอใจกับรอยสิวที่จางแล้ว ฝ้าที่หายแล้ว ก็หยุดใช้และบีมก็สอนวิธีถอนการใช้ให้แล้วด้วยค่ะ ถ้าอ่านละเอียดในหน้าเพจ คือ ถ้าจะหยุดก็หยุดตัว Night ได้เลย ก็ใ้ช้แต่สบู่ Dermo Serum และก็กันแดดแค่นั้น คือ ต้องใช้ Dermo Serum ต่อไปอีกช่วงจนกว่าผิวจะปรับสภาพค่ะ และที่ต้องใช้ทุกวันเลยก็คือกันแดดค่ะ เพราะผิวเขายังอยู่ระหว่างปรับตัว จากเดิมเขาถูกยับยั้งไม่ให้สร้างเม็ดสี ต้องให้เวลาเขาสักพักในการปรับการทำงานมาเป็นปกติ

    บอกได้ว่าหลังหยุดใช้แล้ว ผิวจะไม่ขาวเหมือนตอนใช้ เพราะเม็ดสีเขาจะเริ่มกลับมาทำงานแล้ว แต่รอยที่เคยเป็น ฝ้าที่เคยเป็นมันหาย มันดีึขึ้นแล้วอย่างไรล่ะคะ เราก็ใช้รักษาเฉพาะกิจแค่นั้น จะไปเดท จะแต่งงาน ก็ใช้ทำให้ผิวมันสว่างขึ้น (ถ้าต้องการ) หลังจากนั้นก็กลับมาบำรุงผิวตามปกติ และทากันแดดสม่ำเสมอ (เน้นว่าต้องทาทุกวันเลยล่ะค่ะ และกันแดดของ MarryBeam กับ PRETTYS มีค่า SPF สูงอยู่แล้ว ไม่โกง SPF แน่นอน ไว้ใจได้ค่ะ ทาออกแดดแล้วหน้าไม่ดำกลับมา)

    คือ ถ้าคนใช้ไม่ได้จริง ๆ มันก็จะระคายเคืองตั้งแต่วันที่ 2-3 ที่ใช้แล้วค่ะ ยังไงก็ลองเทสต์ดูก่อนที่แขน ตอนเ้ช้าไม่ต้องล้างออกนะคะ ก็ออกไปทำงานทำอะไรตามปกติ ถ้าถึงเย็นแล้วไม่มีอาการอะไร ก็แสดงว่าน่าจะใช้ได้ แต่ก็อีกนะคะ ผิวที่แขนกับหน้าก็อาจไม่เหมือนกัน บางคนเทสต์กับแขนไม่แพ้ แต่พอใช้กับหน้าก็ใช้ไม่ได้ แต่ของเราแค่ไม่เกิน 2 วันค่ะ ก็เห็นละ ถ้าใช้ไม่ได้ก็ยินดีคืนเงินให้ 100% ตามนโยบายค่ะ ไม่ว่ากัน
ที่เขียนและเรียบเรียงมาเสียยาวก็เืื่พื่ออยากให้เพื่อน ๆ ได้มองประเด็นนี้กระจ่างมากขึ้นเหมือนที่บีมมองเห็น มันอาจจะผิดก็ได้ค่ะ แต่เท่าที่บีมประมวลมาทั้งหมด บีมว่าบีมพอจะเข้าใจที่มาที่ไปของประเด็นต่าง ๆ เป็นอย่างดีแล้ว คือ ของมันไม่ได้อันตราย แต่คนเอาไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า และผู้ผลิตกับผู้อยากขาวจำนวนมากมายก็ทำงานร่วมกันแบบไม่รู้ตัว คือ ทำให้ของที่ควรจะใช้ให้เกิดประโยชน์ เอามาทำให้เสียมาตรฐานเดิมของเขา เอามาผสมปนเปกันเพื่อตอบโจทย์ ขาวเร็ว ราคาไม่แพง

บีมไม่ได้มีเจตนาว่าคนอื่นไม่ดีหรอกนะคะ แต่พอดีธุรกิจที่บีมทำมันก็มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้อยู่บ้างคือ
  1. เราขายทางอินเตอร์เน็ต (แต่ตอนนี้เราก็มีร้าน มีออฟฟิตตั้งแน่นอนแล้วนะคะ) ซึ่งมันเหมือนนินจานะ ใครจะทำอะไรก็ง่ายค่ะ ขายอะไรแล้วโดนจับ ก็เปลี่ยนไปใ้ช้ host ใหม่ ตั้งชื่อใหม่ หรือขายในเฟส คือ เวลามีข่าวแบบนี้ เรามีตัวตนในอินเตอร์เน็ต มันก็โดนหางเลขไปด้วยแหละ เลยขอเคลียร์กันหน่อยนะคะ
  2. เรามีตัวที่ช่วยรักษารอยสิวที่เป็น Night Cream ซึ่งคนใช้จะเห็นผลค่อนข้างดีและเร็ว ทำให้ตัวคนใ้ช้หรือเพื่อนรอบตัว คนในครอบครัวมีคำถามกับคนนั้นได้ว่า ไม่กลัวเหรอ อะไรมันจะดีและเร็วขนาดนั้น คือ บีมจะบอกว่า ก่อนจะพัฒนามาสูตรที่เห็นกันทุกวันนี้ เราผ่านมาหลายสูตรแล้วค่ะ แล็ปส่งมาให้บีมไม่รู้จะกี่รอบ มาเทสต์ มาให้ลูกค้าลองดู ตัวที่ขายทุกวันนี้คือ The Best แล้ว มันก็เลยดีและเร็วอย่างที่เห็นนะคะ แต่มันก็มีคนใช้ไม่ได้ซึ่งผิวแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ อันนั้นเราก็ไม่ว่ากัน ก็เลยขอมาเคลียร์อีกประเด็น
เอาเป็นว่า ไม่ว่าบีมจะทำอะไร จะขายอะไร บีมมองที่ความสบายใจของตัวบีมเองด้วยนะคะ และมองว่าคนใช้เขาได้ประโยชน์มั้ย คือ ถ้ามันอยู่ตรงกลางพอดี บีมสบายใจจะขาย คนใช้ได้ประโยชน์ ก็คือจบ และสิ่งที่บีมกลัวที่สุดก็คือ การไปตกนรกนะ นี่เรื่องจริง บีมไม่ได้สร้างภาพตัวเองให้เป็นคนดีอะไร ไม่ใช่คนดี 100% แต่พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และมองเห็นวัฏฏะสงสารของการเกิดดับของชีวิตก็เท่านั้นเองค่ะ และเชื่อในภพภูมิแม้จะไม่เคยมีตาทิพย์มองเห็น ชีวิตมนุษย์กับการหาเงินมันสั้นค่ะ บีมมองเห็น สั้นมากเมื่อเทียบกับอะไรที่จะต้องไปต่อข้างหน้า อะไรที่ไม่ดีไม่อยากทำจริง ๆ

ทุกวันนี้ทั้งหมดที่ขายไม่ว่าจะเป็น MarryBeam หรือ PRETTYS หรืออะไรก็ตามที่บีมแนะนำทุกคนไป คือ บีมต้องมั่นใจก่อนว่ามันไม่เป็นอะไร มันปลอดภัยแน่ และบีมขอแนะนำให้ทุกคนศึกษาข้อมูลของเราทั้งหมดก่อน และใช้ให้ถูกวิธี ตัวที่รักษารอยหรือชุด PRETTYS แม้จะไม่ได้ใส่สารอันตราย ก็อย่าไปใ้ช้นาน ๆ สวยธรรมชาติ ผิวธรรมชาติดีที่สุดนะคะ เพราะ การที่เราไปยับยั้งเม็ดสี ทั้งที่เราอยู่ในประเทศที่ร้อน แดดแรง เราต้องมีเมลานินปกป้องผิว คือ ถ้าจะยับยั้งเม็ดสีีก็ขอให้ทำเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่เิกิน 2-3 เดือน คือ ถ้าพอใจกับรอยหรือฝ้าที่จางแล้ว หลังจากนั้นก็ถอนการใช้ Whitening ไป ไปใช้บำรุงตามปกติและต้องทากันแดดตลอด (ย้ำว่าตลอด)

ใช้ตามที่แนะนำค่ะ แล้วคุณจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ ถ้าใช้นอกเหนือไปจากที่แนะนำ หรือเราเตือนแล้วไม่ฟัง...อันนั้นก็นอกเหนือความรับผิดชอบของเราแล้วนะคะ คุณจะเคลมอะไรไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

หรือจะเลือกไม่ใช้ Whitening เลยก็ได้ค่ะ ก็อาจจะใช้สารสกัดจากธรรมชาติหรือตามที่คุณใช้แล้วรู้สึกสบายใจได้เลยค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละท่าน

ด้วยความปรารถนาดีเสมอ
บีม

ลิงค์ที่ไปอ่านมาทั้งหมด


0 comments:

Post a Comment

ถามคำถามหรือฝากคอมเม้นต์ของคุณได้ที่นี่ค่ะ